เรื่องที่ผู้เขียนจะนำเสนอในวันนี้เป็นเรื่องของเกษตรกรที่ปลูกอ้อยแล้วได้ผลผลิต
ค่อนข้างสูงเลยที่เดียวมาบอกเล่าเก้าสิบให้กับท่านสมาชิกที่ปลูกอ้อยอยู่ใน
เวลานี้ได้ทราบข้อมูลของเพื่อนสมาชิกที่ปลูกอ้อยเหมือนกัน
เผื่อจะได้เป็นข้อมูลหรือเทคนิคใหม่ๆไปปรับใช้ในไร่ของท่าน
เกษตรกรท่านนี้ไม่ใช่ใครอื่นคือคุณบุญลอง
ประทุมมาหรือพี่ลอง
อาชีพหลักมนุษย์เงินเดือนในโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งย่านนวนคร
ที่ปลูกอ้อย 5 ไร่ เป็นที่ของพ่อตาเดิมทีตรงไม่ได้ทำอะไร
รกร้างว่างเปล่า พี่ลองเลยขอพ่อตาลองเอาอ้อยไปปลูกดู ซึ่งก็ปลูกแบบฝากเทวดาเลี้ยง
ไม่ได้ดูแลอะไรมากมายนัก แบบชาวไร่อ้อยท่านอื่นๆทั่วไป
|
หลังจากนำพันธุ์อ้อยมาปักลงในแปลงประมาณ 1 เดือนก็ได้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จำนวน 6 กระสอบ ผสมร่วมกับพูมิชซัลเฟอร์ 5 กระสอบหว่านไปในไร่อ้อยทั้ง
5 ไร่ที่ทำเพียงแค่ครั้งเดียวแล้วไม่ได้ใส่ปุ๋ยอีกเลยจนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิต
จากการสอบถามเก็บข้อมูลเพิ่มเติมได้คำตอบว่า พี่ลองได้ปลูกอ้อยมา 2 ปีหรือว่าปลูกอ้อยมา 2 ตอแล้วผลผลิตที่ได้ 2 ปีที่ผ่านมาพอๆกันคือเกือบ 100 ตัน ซึ่งปีแรกขายอ้อยเป็นท่อนพันธุ์ให้กับเกษตรกรใกล้เคียงส่วนปีนี้ที่พึ่งตัดไปได้ผลผลิต
98 ตัน ได้ขายเข้าโรงงานอ้อยไปแล้ว นอกจากยังบอกตบท้ายอีกว่า
ผลผลิตที่ไร่ของพ่อตาตัวเองนั้นสูงกว่าไร่อ้อยเจ้าอื่นๆในย่านอำเภอตากฟ้า
อำเภอตาคลี กว่าครึ่ง
แถบนี้ผลผลิตอ้อยอย่างมากสุดไม่เกิน12 ตันต่อไร่ แถมยังต้องใส่ปุ๋ย 2-3 ครั้ง
ต่อรอบ ต่างจากพี่ลองที่ใส่ปุ๋ยแค่รอบเดียว
และยังบอกอีกว่าปัจจัยที่ทำให้อ้อยที่ปลูกได้ผลผลิตดีน่าจะมาจากพูมิชซัล
เฟอร์ ที่คอยจับตรึงปุ๋ยให้ละลายช้าลง
ทำให้อ้อยมีปุ๋ยกินเป็นเวลานาน
ประกอบกับดินที่ปลูกเป็นดินใหม่ยังไม่เคยเพาะปลูกอะไรเลยทำให้สารอินทรีย์
วัตถุและธาตุอาหารต่างๆที่อยู่ในดินยังอุดมสมบูรณ์ทำให้อ้อยที่ปลูกได้สาร
อาหารที่เพียงพอ
ทำให้การเจริญเติบโตดี พี่ลองบอกว่าตอนนี้กำลังจะใส่ปุ๋ยอ้อยตอที่ 3
แต่ก็ไม่ลืมนำพูมิชซัลเฟอร์มาผสมปุ๋ยหว่านเหมือนก่อน
ได้ผลเป็นอย่างไรผู้เขียนจะเก็บข้อมูลมาบอกเล่าเก้าสิบให้กับพี่น้องชาว
เกษตรปลอดสารพิษอย่างแน่นอนครับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ โทร.02-9861680-2 หรือ
085-9205846 (คุณจตุโชค)
เขียนและรายงานโดย :
ทีมงานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com/Aticle.aspx?id=12918&Param2=3
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 เสนอแนะติชมได้ที่ email
: thaigreenagro@gmail.com
|
|
บล็อกนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอผลงาน แนวทาง ทางเลือกใหม่ ในการทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ยึดหลักความรับผิดชอบต่อสังคมผสมผสานกับการพาณิชย์ กล่าวคือ ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำชี้ทางถูกผิด 30% ผสมผสานงานขาย 70% เพื่อความคงอยู่ขององค์กรหรือหน่วยงานต้นสังกัดกล่าวคือชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ปรัชญาประจำตัวคือ "ทุกแนวคิด ทุกคำตอบ ทุกงานวิชาการ เพื่อเกษตรกรไทย"สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:คุณเอกรินทร์ ช่วยชู โทร.081-3983128
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556
อ้อยผลผลิตดี ลดการใช้ปุ๋ย ต้นทุนต่ำ ด้วยพูมิชซัลเฟอร์
วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556
ปรับปรุงดินทรายให้อุ้มน้ำ เหมาะกับพืชหน้าแล้ง
|
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556
ผักปลอดสารต้นทุนต่ำทำได้ แม้ราคาผันผวนก็ไม่ต้องแคร์ ขอแค่คนยังกินผัก
|
วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556
“ปุ๋ย” ใช้ให้เป็นใช้ให้ถูก ประโยชน์มากกว่าเสียแน่นอน
ปุ๋ยยูเรียหรือไนโตรเจนใช้เดี่ยวๆ
บ่อยๆ นานๆ จะทำให้พืชอ่อนแอเพราะขาดธาตุอาหารหลักอย่างฟอสฟอรัส โพแทสเซียม อีก
2ตัว เมื่อใช้ไปเรื่อยๆอย่างไม่สมดุลความแข็งแกร่งของต้นพืชลดลง
ไม่ว่าชนิดหรือพันธ์พืชจะดี จะเก่ง สักแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานโรคแมลงได้ไหว
สุดท้ายแล้วพืชก็อ่อนแอเป็นโรคง่าย แต่หากก้มมองข้างกระสอบสังเกตว่าจะระบุแนะนำให้ใช้เดี่ยวๆ
กับพืชบ้างชนิดอย่างข้าว อ้อยฯลฯ
แม้แต่หน่วยงานภาครัฐก็ยังส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ในทิศทางเช่นเดียวกัน
อย่างเช่นใช้ยูเรียแต่งหน้าข้าวในนาให้ใบดูเขียวเสมอ
โดยที่ไม่เติมปุ๋ยธาตุอาหารใดเลย
|
พืชแต่ละชนิดต้องการธาตุอาหารหลัก
(ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม) ธาตุรอง (แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน) ธาตุเสริม
(เหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โบรอน โมลิบดินัมและคลอรีน) ในอัตราที่เหมาะสม
ซึ่งขึ้นอยู่ชนิดพันธุ์พืชนั้นๆด้วย สภาพดินที่ง่ายต่อการถูกชะล้างอย่างดินทราย
มักจะขาดธาตุอาหารหรือปุ๋ยเทียบทุกตัว ดินประเภทนี้ควรใช้ปุ๋ยคอกเข้ามาร่วมมากหน่อย
ปุ๋ยเคมีที่นำมาใช้ควรมีธาตุอาหารครบทั้ง 3 ตัว ซึ่งอาจเป็นสูตรเสมอก็ได้เพราะง่ายต่อการจดจำ
แต่หากต้องการปรับปรุงดินในสภาพดินทรายไปด้วยให้ใช้ซอยพลัส 40-60
กิโลกรัมคลุกผสมร่วมปุ๋ยเคมี 50 กิโลกรัมหว่านกระจายทั่วแปลงหรือรอบๆทรงพุ่ม 2-3
เดือนครั้ง
ดินลุ่มน้ำหรือที่ลุ่มสองฝั่งลำน้ำดินเหนียวมีโพแทสเซียมเยอะเพราะน้ำท่วมบ่อยหรือเขตดินดำอย่างปทุมธานี
อยุธยา ฉะเชิงเทรา ฯลฯ
ซึ่งแถบนี้จะมีโพแทสเซียมธรรมชาติในเนื้อดินค่อนข้างมากไม่จำเป็นต้องปุ๋ยตัวท้าย (K)
เลยก็ยังได้ แต่ที่ควรระวังคือดินแถบนี้ส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นกรดถึงกรดจัด
ควรใช้โดโลไมท์ ปูนมาล์ลหรือหินฟอสเฟตปรับปรุงดินก่อน
เพื่อลดความเป็นกรดในเนื้อดินไม่ให้เป็นพิษต่อพืชที่จะปลูก
ก่อนปรับปรุงดินทุกครั้งควรตรวจวัด pH
ของดินก่อนทุกครั้ง ซึ่งอาจจะตรวจวัดเองหรือใช้บริการพัฒนาที่ดินหรือหมอดินอาสาประจำหมู่บ้าน
ดินแต่ที่แต่ละแห่งไม่เหมือนกัน
เซลล์ขายปุ๋ยมักเหมารวมแนะนำสูตรอะไรก็ได้ที่หว่านแล้วเขียวเร็ว
ผลที่ตามมาแก้ปัญหาทีหลังเพื่อขายยาต่อ ชนิดที่ว่า “ยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 2 ตัว”
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
02-9861680 -2 หรือ 081-3983128 (เอกรินทร์)
เขียนและรายงานโดย :
ทีมงานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com/Aticle.aspx?id=12888&Param2=17
วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 เสนอแนะติชมได้ที่ email
: thaigreenagro@gmail.com
|
|
วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556
ผลผลิตมะนาวออกตรงใจ ได้เงินได้กำไร
หากต้องการมีผลผลิตมะนาวไว้ขายช่วงเดือนมีนา-เมษา
เราต้องให้มะนาวออกติดผลช่วงเดือนตุลา-พฤศจิกา หรือประมาณ 5-6
เดือนตั้งแต่วันที่บังคับให้ออกดอก
แต่โดยมากมะนาวจะไม่ค่อยออกดอกติดผลใหม่หากบนต้นยังผลติดอยู่มาก ดังนั้นต้องเก็บผลผลิตให้หมดตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนหรือช้าสุดก็เดือนตุลาคม
จากนั้นใส่ปุ๋ยสูตร 14-14-21 บำรุงทางดินให้ออกดอก แต่ถ้าต้นงาม เฝือใบ บ้าใบจัด
ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 0-0-60 คลุกเคล้าร่วมกับพูมิชแทน ต้นละ 1-2 กิโลกรัมต่อต้น
|
หากให้ปุ๋ยทางดินผิดบ้างไม่ต้องตกใจ
ไม่มีผลกระทบกับมะนาวมากนัก ไม่เหมือนปุ๋ยน้ำที่ฉีดพ่นให้ทางใบที่ต้องคอยละเมียดระวัง
ต้องใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพราะบางอย่างให้มากไปใบไหม้ ดอกร่วง ผลอ่อนร่วง
ต้นไหนที่ใบเยอะเขียวมันอยู่แล้วอาจฉีดพ่นแค่ปุ๋ย 0-52-34 2 ช้อนแกงร่วมกับน้ำตาลทราย 2 ช้อนแกง และซิลิโคเทรซ
5 กรัม ผสมในน้ำเปล่า 20 ลิตร ทุกๆ 7 วัน/ครั้ง
ให้แก่มะนาวที่ใบเต็มต้นและเก็บผลหมดแล้ว ตลอดช่วงเดือนกันยา-ตุลา
จนกว่ามะนาวจะออกดอกติดผลเต็มต้น
เอ็นเอเอ, จิบเบอเรลลินใช้ได้บ้างช่วงที่มะนาวเริ่มติดผลดีแล้ว
ทำให้ขั้วเหนียวขึ้น ลดการหลุดร่วงหรืออาจฉีดพ่นไวตาไลเซอร์ร่วมกับไคโตซานMT และแคลเซียม-โบรอนแทนก็ได้ นอกจากนี้อาจเสริมโดยการฉีดพ่นโพแทสเซียมฮิวเมทร่วมกับปุ๋ยสูตร
5-55-20 ป้องกันดอก-ผลหลุดร่วง ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
02-9861680-2 หรือ 081-6929660 (เอกรินทร์)
เขียนและรายงานโดย :
ทีมงานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com/Aticle.aspx?id=12860&Param2=4
วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556 เสนอแนะติชมได้ที่ email
: thaigreenagro@gmail.com
|
|
วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556
หนอนเจาะไส้ดอกมะลิ แก้ได้ไม่ต้องปนเปื้อนสารเคมี
ปัญหาที่สร้างความหนักใจให้กับคนปลูกมะลิมีไม่กี่อย่าง
หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นหนอนเจาะไส้ดอกมะลิ
ส่งผลให้ดอกมะลิที่ถูกทำลายกลายเป็นสีม่วงไม่โต เหี่ยวแห้งติดต้นเก็บขายไม่ได้
หนอนเจาะไส้ดอกเกิดจากผีเสื้อกลางคืนชนิดหนึ่ง ชอบวางไข่บนดอกอ่อนของมะลิ
ฟักตัวเป็นหนอนเจาะกินไส้ดอก ทำให้ดอกร่วงหล่น
จากนั้นจะทิ้งตัวเข้าดักแด้ตามเศษใบไม้แห้งบนดินบริเวณโคนต้น
|
พฤติกรรมการฉีดพ่นยา ฮอร์โมน ปุ๋ยของเกษตรกร
ส่วนใหญ่ฉีดพ่นเฉพาะซอกใบ ช่อดอกบนต้นเพียงเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ดักแด้ไม่ตายสามารถลอกคราบออกมาเป็นผีเสื้อผสมพันธุ์วางไข่ได้อีก
ด้วยความที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเกษตรกรก็เลยผสมยาในอัตราที่เข้มข้นหวังจะน็อกให้อยู่หมัด
และแล้วก็โดนน็อกเสียเองเนื่องจากยาเคมีราคาแพง
จริงๆแล้วการใช้ยาเคมีไปนานๆหรือบ่อยครั้งทำให้สารพิษตกค้างในดินในต้นมะลิที่เราฉีดพ่น
รวมถึงคนเก็บดอก คนร้อยพวงมาลัยที่ใจดีรับสารพิษ(ความตาย)ไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว
จะรู้อีกทีร่างกายเขาเริ่มอ่อนล้าอ่อนแรง
การผลิตดอกมะลิให้ปลอดสารเคมี
ปลอดหนอนเจาะไส้ดอกนั้นไม่ยาก อยู่ที่ใจว่าพร้อมหรือเปล่า ถ้าพร้อมเริ่มตั้งแต่การศึกษาขั้นตอนการปลูก
การปรับปรุงดินว่าสภาพดินอย่างนี้ควรปรับปรุงอย่างไรจึงเหมาะ
ดินเปรี้ยว(กรด)ควรใช้สารตัวไหนปรับ แล้วดินเค็ม(ด่าง)ล่ะใช้ตัวไหนถึงจะดี ชาวสวนสมัยใหม่สมควรรู้
ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้อีกทาง แล้วต้นมะลิต้องการธาตุอาหารอะไร เท่าไร
ช่วงไหน เก็บดอกได้เมื่อไรเหล่านี้เป็นต้น
ดินเปรี้ยวหรือที่ทางการเรียกว่า “ดินกรด”
คือดินที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.8 ให้ใช้โดโลไมท์หรือปูนมาร์ลหว่านปรับสภาพ
แต่ถ้าเมื่อวัดแล้ว pH กลับสูงกว่า 6.3
แสดงว่าดินตรงนั้นเค็มหรือ “ดินด่าง”นั้นเองให้ใช้ภูไมท์ซัลเฟตกระสอบสีแดงหว่านปรับสภาพแทน
ส่วนพื้นที่ใดที่มีค่า pH อยู่ระหว่าง 5.8-6.3
แสดงว่าพื้นที่ของท่านมีเหมาะสมต่อการปลูกพืชมากที่สุด เพราะที่ pH 5.8-6.3
แร่ธาตุในดินสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืชได้ใช้ประโยชน์มากที่สุด โอกาสขาดธาตุโดยเฉพาะธาตุเสริมก็มีน้อยลง
เมื่อต้นมะลิได้รับธาตุอาหารเหมาะสม
ต้นแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่ค่อยเป็นโรค สามารถให้ผลผลิตเต็มที่
แต่หากต้องการเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันโรคแมลงแล้วล่ะก็
เวลาใส่ปุ๋ยครั้งใดให้คลุกผสมด้วยพูมิชในอัตรา 20 กิโลกรัมต่อปุ๋ยเคมี 50
กิโลกรัมหรือหากเป็นปุ๋ยคอกให้ใช้ 100 กิโลกรัม ซิลิก้าที่อยู่ในเนื้อพูมิชสามารถช่วยป้องกันหรือเป็นเกราะป้องกันโรคแมลงได้
แต่หากช่วงไหนมีหนอนเจาะไส้ดอกระบาดให้หมักขยายเชื้อบีทีชีวภาพร่วมกับสมุนไพรไทเกอร์เฮิร์ป
ฉีดพ่น 3 วันหรือ 5 วันครั้งตามเหมาะสมกับโปรแกรมที่ท่านวาง
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ 02-9861680-2 หรือ 089-4442366
(เอกรินทร์)
เขียนและรายงานโดย :
ทีมงานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com/Aticle.aspx?id=12831&Param2=5
วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556 เสนอแนะติชมได้ที่ email
: thaigreenagro@gmail.com
|
|
วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556
ฉีกตำรามะนาวนอกฤดูแบบเก่าๆ “ไม่งดน้ำ ออกดอกดี ลูกดกอีกต่างหาก”
ที่ผ่านมาการทำมะนาวนอกฤดูโดยเฉพาะมะนาวที่ปลูกในวงบ่อซีเมนต์
เป็นที่ทราบกันดีว่าจะต้องให้มะนาวอดน้ำก่อน 10-15 วัน
จึงเริ่มให้ปุ๋ยให้น้ำตามปกติ จากนั้นไม่นานมะนาวก็จะเริ่มออกดอกตามกิ่งก้าน วิธีนี้เหมาะสมกับมะนาวที่ออกดอกติดผลยาก
แต่ปัจจุบันมีคนนำเอาวิธีดังกล่าวมาใช้กับมะนาวที่ออกดอกติดผลตลอดปี
มองแล้วไม่สมควรเพราะยังไงๆไม่กระตุ้นมะนาวก็ออกดอกอยู่ดี
เพียงแค่เราทำหน้าที่ผู้ดูแลที่ดี ให้น้ำให้ปุ๋ยถูกช่วงถูกจังหวะแค่นั้นเอง
หากต้องทำนอกฤดูจริงๆก็ไม่จำเป็นต้องอดน้ำอย่างที่หลายต่อคนทำกัน
|
มะนาวที่เกษตรกรนิยมปลูกเพื่อทำนอกฤดู
ส่วนใหญ่แล้วเป็นแป้นรำไพ เนื่องจากเป็นมะนาวแป้น ผลโต น้ำมาก เปลือกบาง
ที่สำคัญเป็นที่ต้องการของตลาด
แถมติดผลง่ายชนิดที่ว่าต้นไหนสมบูรณ์ออกดอกทันทีที่ไม่มีลูกค้างต้นมากเกินไป พูดง่ายว่าออกดอกได้ทั้งปี
เมื่อเข้าใจอย่างแล้วปลูกมะนาวแป้นรำไพทำนอกฤดู จึงไม่ใช่เรื่องยาก
ไม่จำเป็นต้องอดน้ำอดปุ๋ยอย่างที่นักวิชาการหลายต่อหลายท่านแนะนำกัน
เราสามารถทำมะนาวนอกฤดูแบบธรรมชาติได้ ขั้นตอนก็ง่ายไม่สลับซับซ้อน
ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ฝนตกแดดออกก็ไม่ใช่อุปสรรค
แต่ที่สำคัญต้นมะนาวที่ต้องการทำนอกฤดูจะต้องมีอายุปีครึ่งเป็นอย่างต่ำ
เพราะถ้าอายุน้อยเกินไปเดี่ยวต้นจะโทรมปรับสภาพไม่ทัน
ประมาณเดือนเมษายนหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จ
หากมีมะนาวที่ยังค้างต้นอยู่ยังไม่ต้องเอาออก ปล่อยเก็บไปเรื่อยๆ
ช่วงนี้ห้ามให้มะนาวขาดน้ำเด็ดขาดต้องให้น้ำทุกวัน
สำหรับเกษตรกรท่านที่ปลูกในวงบ่อซีเมนต์ให้เติมดินที่ผสมปุ๋ยคอกเกลี่ยให้เต็มวงบ่อซีเมนต์ก่อน
ส่วนท่านที่ปลูกบนดินโดยตรงให้ปุ๋ยสูตร 25-7-7 ต้นละ 3 กำมือสลับกับปุ๋ยสูตร
46-0-0 (ห่างจากโคนต้น)ทุก 25 วัน ก่อนหรือหลังให้ปุ๋ยทุกครั้งต้องรดน้ำให้ชุ่มเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
ในเวลาเดียวกันต้องรักษายอดอ่อนที่ออกใหม่อย่าให้มีเพลี้ยไฟหรือหนอนชอนใบเข้าเล่นงานได้
หากมีดอกให้ปลิดทิ้งเสีย
เดือนกรกฎาคมช่วงนี้ต้นมะนาวจะสมบูรณ์สุดๆ
ให้งดปุ๋ยสูตร 46-0-0 ยังคงให้ปุ๋ยสูตร 25-7-7 แต่เพิ่มความถี่เป็น 20
วัน/ครั้งๆละ2 กำมือแทน
ส่วนน้ำยังคงให้สม่ำเสมอเช่นเดิมแต่หากช่วงไหนฝนตกก็ควรงดน้ำบ้างตามความเหมาะสมเพราะช่วงนี้เข้าหน้าฝน
ประมาณปลายเดือนกรกฎาคมให้ตัดแต่งกิ่งทรงพุ่มออก ประมาณ30%
โดยเน้นกิ่งไขว้ไม่มีประโยชน์หรือปลายกิ่งที่มีรอยเพลี้ยไฟหรือหนอนชอนใบทำลาย
นอกจากนี้ให้ปลิดลูกที่ค้างต้นออกให้หมด หากมีดอกก็ให้ปลิดดอกทิ้งด้วย
ย่างเข้าเดือนสิงหาคม-กันยายน
จะเห็นได้ว่ามะนาวของท่านจะเริ่มแตกยอดอ่อนออกมา ให้งดปุ๋ยสูตร 25-7-7 เหลือต้นละ1
กำมือ แต่ยังคงให้น้ำปกติ
กิ่งใดที่มีดอกออกมาให้ปลิดทิ้งทันทีไม่ต้องหวง
จากนั้นให้ฉีดพ่นด้วยทริปโตฝาจร่วมกับไทเกอร์เฮิร์ปเพื่อป้องกันเพลี้ยไฟ
หนอนผีเสื้อหรือแมลงที่จะเข้ามากัดทำลายยอดอ่อน
จากนั้นประมาณเดือนตุลาคมให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ต้นละ 3 กำมือ 2 ครั้ง
ห่างกัน 20 วัน สังเกตว่ามะนาวของท่านจะเริ่มออกดอกเรื่อยๆ ซึ่งดอกที่ออกมาเป็นดอกคุณภาพดีคือออกมาพร้อมยอดอ่อนและออกจากซอกใบ
หลังจากนี้ให้บำรุงด้วยปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 20-20-20 หรือ 15-15-15 เป็นต้น
นอกจากใส่ปุ๋ยบำรุงต้นแล้วที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือให้ฉีดพ่นบีเอสพลายแก้วป้องกันรักษาดอกจากเชื้อราต่างๆ
เนื่องจากช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็น ความชื้นสูงมีน้ำค้างเยอะ
เหมาะต่อการระบาดของเชื้อรา
เกษตรกรท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ โทร. 02-9861680-2
หรือ 081-6929660 (เอกรินทร์)
เขียนและรายงานโดย :
ทีมงานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ http://www.thaigreenagro.com/Aticle.aspx?id=12778&Param2=4
วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556 เสนอแนะติชมได้ที่ email
: thaigreenagro@gmail.com
|
วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556
ดินจืดเหนียวแน่นแข็ง ปรับดินก่อนเสียบตออ้อย แล้วผลผลิตของท่านจะเปลี่ยน
ผลผลิตอ้อยส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของดิน ดินที่เหมาะสมต้องร่วนไม่แบ่งเป็นชั้น หน้าดินไม่แพ็คแน่นเป็นดาน พื้นที่ส่วนใหญ่เมื่อปลูกอ้อยไปแล้ว 1-2 รอบ ก็จะระเบิดดินดานด้วยผานสามหรือสี่ก่อนไถ่พรวนอีกรอบ ให้ดินร่วนซุยอ้อยหยั่งรากได้ลึก รากไม่ลอยทำได้หลายตอ อีกทั้งดินยังสามารถซับน้ำซับปุ๋ยได้ดีกว่าเดิม สำหรับเกษตรกรรายย่อยต้นทุนน้อย ไม่สะดวกใช้รถแทรกเตอร์ไถระเบิดดินก็ให้ใช้สารละลายดินดาน ALS 29% แทน
พื้นที่ปลูกอ้อยส่วนใหญ่ถูกดัดแปลงจากท้องนาซึ่งเป็นดินเหนียวไม่ค่อยระบายน้ำ
หากต้องการให้ดินร่วนก็ต้องอาศัยใส่พูมิชซัลเฟอร์อย่างน้อยไร่ละ 20-40 กิโลกรัม
ยิ่งใส่ทุกๆปีดินยิ่งร่วนซุยขึ้นเรื่อยๆ ครั้งต่อไปก็ไถง่ายขึ้น
ประหยัดค่าน้ำมันได้มาก ดินร่วนขึ้นอ้อยหยั่งรากออกด้านข้างได้ดี และสามารถซึมซับไอน้ำใต้ดินได้ดีอีกด้วย
นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับน้ำสำรองให้พืชไว้ใช้หลังฝนตกได้นานวันขึ้น
ที่สำคัญช่วยจับตรึงไนโตรเจนและโพแทสเซียมให้ละลายช้าลง
ลดการชะล้างเวลาฝนตกหรือน้ำขัง ทำให้สามารถใช้ปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดินแน่นแข็งกระด้างขาดอินทรียวัตถุให้เติมโพแทสเซียมฮิวเมทร่วมกับปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยหมัก
ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์ ฯลฯ
เพราะปุ๋ยอินทรีย์ช่วยให้ปุ๋ยที่ละลายได้น้อยที่มีอยู่ในดินให้ละลายเพิ่มขึ้น
ทำให้พืชได้รับประโยชน์มากขึ้น แม้ว่าปุ๋ยอินทรีย์จะมีประโยชน์ตามที่กล่าวข้างต้นจริง
แต่การให้ปุ๋ยอินทรีย์เพียงอย่างเดียว พืชก็ได้รับเปอร์เซ็นต์ปุ๋ยไม่เพียงพอ
การใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีจึงยังเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่หากต้องการลดต้นทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ควรใช้พูมิช 20 กิโลกรัมคลุกผสมร่วมกับปุ๋ยเคมี 50 กิโลกรัมหรืออินทรีย์ 100 กิโลกรัมเป็นปุ๋ยละลายช้า
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ 02-9861680-2 หรือ 089-4442366
(เอกรินทร์)เขียนและรายงานโดย : ทีมงานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556 เสนอแนะติชมได้ที่ email
: thaigreenagro@gmail.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)