เมื่อ
เร็วๆ
นี้ผู้เขียนได้มีโอกาสโทรศัพท์พูดคุยกับเกษตรกรที่ทำสวนฝรั่งท่านหนึ่งแถวๆ
นครชัยศรี
เกี่ยวกับแมลงศัตรูพืชที่คอยช่วยพึ่งพาอาศัยกัน
แต่ถ้าพี่น้องเกษตรกรไม่ทราบข้อมูลเลยการป้องกันกำจัดก็เป็นไปได้ยาก
อาจทำให้ธรรมชาติเสียความสมดุลไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งหน้าแล้งหรือฝนทิ้งช่วงนานๆก็มักจะพบเพลี้ยแป้งระบาดเป็นจำนวนมากชนิด
ที่ว่าขาวโพลนทั้งต้น
เพลี้ยแป้งเหล่านี้จะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบฝรั่ง
ส่งผลทำให้คุณภาพของผลผลิตตกต่ำ
และในขณะเดียวกันก็จะเห็นมดโดยเฉพาะมดแดงเดินป้วนเปี้ยนไป-มาใกล้ๆตัวเพลี้ยตลอดเวลา
เนื่องมาจากสัตว์ทั้ง 2 ชนิดต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อเพลี้ยแป้งดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นฝรั่งแล้วก็จะถ่ายมูลออกมา
จากนั้นมดแดงก็จะเข้าไปกินน้ำหวานจากมูลต่อโดยที่ไม่ทำร้ายเพลี้ย
แต่เมื่อไหร่ที่ตัวเพลี้ยแป้งร่วงหรือตกจากต้นฝรั่ง
มดแดงก็จะทำหน้าที่ไปคาบเพลี้ยขึ้นมาเกาะบนต้นฝรั่งดังเดิม
ดูแล้วก็เหมือนสายสัมพันธ์รักที่ดีต่อกัน ทำสวนฝรั่งจะไปยึดถืออย่างนั้นก็คงไม่ได้
ผลผลิตเสียหายหมดกันพอดี
ชีวภาพอย่างสมุนไพรและจุลินทรีย์ก็อีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยควบคุมปริมาณเพลี้ยแป้ง
ช่วยลดสารเคมี ลดต้นทุน ป้องกันสารพิษตกค้าง ที่สำคัญดินก็ไม่เสื่อมระบบนิเวศน์ก็ไม่เสีย
ตัวห้ำตัวเบียนก็ไม่ถูกทำลายอย่างทุกวันนี้
ท่านเคยสังเกตไหมว่าแมงมุมที่คอยชักใยตามกิ่งใบฝรั่งหายไปไหน? ผู้เขียนกำลังจะบอกว่าที่มันหายก็เพราะว่าสวนแต่สวนมีแต่สารเคมี
สารพิษที่คอยทำลายชีวิตห่วงโซ่อาหารของแมลงหรือแมงพวกนี้
หากไม่อนุรักษ์ไว้จองแต่จะทำลาย
วันหน้าก็จะไม่มีแมลงดีๆคอยพิทักษ์สวนคอยป้องกันแมลงศัตรูพืช
เมื่อผู้พิทักษ์น้อยลงแต่ปริมาณศัตรูเท่าเดิมหรือมากกว่า
เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องหาตัวช่วย
อันจะใช้น้ำไปฉีดพ่นหรือรอให้ฝนตกลงมาชะล้างเพลี้ยออกจากต้นก็คงไม่ทันกาล บางครั้งอาจต้องใช้ยาป้องกันกำจัดบ้างสลับสับเปลี่ยนกันไป
จะเลือกยามาฉีดพ่นซักขวดก็ต้องดูพิจารณาให้ดีว่า เป็นยาอะไร? ใช้แล้วปลอดภัยมั้ย?
ตกค้างหรือป่าว? ระยะยาวเป็นยังไง? ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้รับรองเลยว่าสินค้าเกษตรของไทยปลอดภัยจากสารพิษ100%ชัวร์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 081-3983128 (ผู้เขียน)
เขียนและรายงานโดย
: คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
www.thaigreenagro.com
วันที่
23 กันยายน 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email :
thaigreenagro@gmail.com
|
บล็อกนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอผลงาน แนวทาง ทางเลือกใหม่ ในการทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ยึดหลักความรับผิดชอบต่อสังคมผสมผสานกับการพาณิชย์ กล่าวคือ ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำชี้ทางถูกผิด 30% ผสมผสานงานขาย 70% เพื่อความคงอยู่ขององค์กรหรือหน่วยงานต้นสังกัดกล่าวคือชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ปรัชญาประจำตัวคือ "ทุกแนวคิด ทุกคำตอบ ทุกงานวิชาการ เพื่อเกษตรกรไทย"สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:คุณเอกรินทร์ ช่วยชู โทร.081-3983128
วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557
สายใยรักเพลี้ยแป้ง-มดแดงในสวนฝรั่ง
วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557
กำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าวด้วยเชื้อราบิวเวอเรีย(ทริปโตฝาจ)
+
บทความตอนนี้ข้อนำเสนอข้อมูลการจัดการกับเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าวพื้นที่ภาคอีสานตอนล่างที่กำลังระบาดอย่างหนักในเวลานี้ ซึ่งข้อมูลนี้เป็นข้อมูลของ คุณไพทูน วงศ์ใหญ่ อยู่บ้านเลขที่ 199 หมู่ที่16 ต.หนองฮี อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โทร.081-7744449
- ทำนาข้าวอยู่ 200 ไร่ (พันธุ์ ก.ข.15) ซึ่งการทำนาของคุณไพบูลย์ จะทำเป็นแนวปลอดสารพิษ จะไม่ใช้ยาฆ่าแมลงเลย เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา จังหวัดอุบลราชธานีประสบกับปัญหาเรื่องเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดในนาข้าวอย่างหนัก ซึ่งนาของคุณไพบูลย์เองก็เจอเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเล่นงานเหมือนกัน แต่ที่ต่างจากชาวนาคนอื่นในระแวกบ้าน คือคุณไพบูลย์จะไม่ใช้ยาฆ่าแมลงในการกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ที่มีขายตามร้านขายยา แต่จะหาข้อมูลการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลแบบชีวภาพปลอดสารพิษในอินเตอร์เน็ตและได้มาอ่านเจอบทความเรื่องการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าวแบบปลอดสารพิษของทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ด้วยการใช้จุลินทรีย์”ทริปโตฝาจ”(เชื้อราบิวเวอเลีย) แล้วเกิดความสนใจ เลยได้เข้าไปซื้อจุลินทรีย์ทริปโตฝาจ ที่ชมรมเกษตรปลอดสารพิษสาขาอุบลราชธานี ตรงแยกนาเมือง ไปทดลองใช้เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2557 ก่อนที่จะฉีดสั่งเกตุในแปลงนาพบว่าข้าวในนาเริ่มแสดงอาการเหลือง บางพื้นที่ข้าวเริ่มยุบให้เห็น เลยได้รียฉีดทริปโตฝาจในเย็นวันที่ 1 นั้นเอง
- หลังจากฉีดพ่นทริปโตฝาจไป 4-5 วัน ทางเจ้าหน้าที่ของชมรมเกษตรปลอดสารพิษได้โทรไปสอบถามเก็บข้อมูลผลการใช้ จุลินทรีย์ทริปโตฝาจ กับทางคุณไพบูลย์ ได้ข้อมูลเป็นที่น่าพอใจ คุณไพบูลย์ให้ข้อมูลมาว่า หลังจากฉีดไปแล้ว3 วันได้ไปตรวจดูที่แปลงนาพบว่า แทบไม่มีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในแปลงนาเลย แต่จะพบตัวที่ตายลอยอยู่ในน้ำหรือไม่ก็แห้งตายขึ้นเป็นใยสีขาวเกาะตายคาต้นข้าว ทำให้คุณไพบูลย์รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก และเมื่อวาน คุณไพบูลย์ได้โทรมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ว่าข้าวที่นาเริ่มฟื้นกลับมาเขียวเกือบจะเหมือนเดิมแล้ว เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลก็ยังไม่มีอีกเลยตั้งแต่ฉีดทริปโตฝาจไปตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน และยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับชาวนาแปลงข้างๆ ที่ใช้ยาฆ่าแมลงในการกำจัดเพลี้ยกระโดดด้วยว่า ชาวนาแปลงข้างๆต้องฉีดยาเพลี้ยกระโดดทุก 3 วัน แต่ข้าวก็ไม่ดีขึ้น แนะนำให้ใช้จุลินทรีย์ทริปโตฝาจ ก็ไม่เอา หาว่ายาที่คุณไพบูลย์ใช้ราคาถูกจะได้ผลหรา ขนาดยาฆ่าแมลงแรงๆแพงๆยังไม่ได้ผลเลย เกษตรกรที่ทำนาท่านอื่นๆในพื้นที่ที่กำลังมีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดก็ลองนำทริปโตฝาจไปทดลองใช้กันได้นะครับสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผู้เขียน โทร.085-9205846
เขียนและรายงานโดย : นายจตุโชค จันทรภูมี
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
หินแร่ภูเขาไฟช่วยให้พืชกินอาหารได้ต่อเนื่อง ไม่เปลืองปุ๋ย ต้นทุนลดผลผลิตเพิ่ม
การ
ทดลองและวิจัยเกี่ยวกับการใช้หินแร่ภูเขาไฟในการปรับปรุงบำรุงดินเท่าที่
เห็นเป็นรูปธรรมคือตั้งแต่ปี 1999 ก็คือ Silicon In Agriculture. และ
Zeolite In Agriculture.
ซึ่งเป็นข้อเกี่ยวกับการใช้หินแร่ภูเขาให้ความชุ่มชื้น
ให้ความแข็งแกร่งทนทานต่อโรคแมลง ทนทานต่อสภาพดินเค็ม ดินเปรี้ยว ดินด่าง
ฯลฯซึ่งความจริงอาจจะมีข้อมูลเกี่ยวกับด้านนี้มาก่อนเยอะแยะมากมายก็ได้
แต่ด้วยเทคโนยีด้านข้อมูลข่าวสารในอดีตไม่ได้รวดเร็วเหมือนสมัยนี้
จึงทำให้ความแพร่หลายในอดีตจากอีกซีกโลกหนึ่งมาถึงเราช้า...แต่ดีกว่าไม่
มา!
หินแร่ภูเขาไฟ.(Volcanic Rock)
ซึ่งมีองค์ประกอบของความอุดมสมบูรณ์พร้อมต่อการเจริญเติบโตทั้งของพืช
สัตว์และจุลิทรีย์หรือสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กที่มนุษย์อย่างเราไม่สามารถ
มองได้ด้วยตาเปล่า
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพืชสัตว์แพลงค์ตอนถ้ามีแหล่งหินแร่ภูเขาไฟบนพื้นดิน
ภูเขาหรือใต้ท้องทะเล
สิ่งมีชีวิตที่ได้รับแร่ธาตุและสารอาหารที่หินแร่ภูเขาไฟปลดปล่อยย่อย
สลายออกมาก็จะเจริญเติบโตสมบูรณ์งอกงามจนแทบไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาหารจากการ
สังเคราะห์หรือปุ๋ย ยาฮอร์โมนต่างๆ เช่นพืชที่ปลูกบนเกาะชวา บาหลี
แพลงค์ตอน ปลากระตัก นกนานาชนิดที่ปากอ่าวชิลี เปรู
การ
ใช้กลุ่มวัสดุปูน lime, ดินเบา diatomite และดินขาว Kaolinite
ซึ่งส่วนใหญ่ใช้แก้ปัญหาดินเปรี้ยวดินกรด
ไม่มีค่าความสามารถในการจับตรึงปุ๋ยให้กลายเป็นปุ๋ยละลายช้า
ไม่มีซิลิก้าทำให้พืชแข็งแรง
ไม่มีคุณสมบัติที่สามารถปลดปล่อยย่อยสลายตนเองให้กลายเป็นอาหารของสิ่งมี
ชีวิตได้ทีละน้อยๆ จึงแตกต่างจากหินแร่ภูเขาไฟ
พื้นที่เกษตรที่มีการเติมสารปรับปรุงบำรุงดินด้วยหินแร่ภูเขาไฟ
พืชจึงเจริญได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดหยุดการรรับสารอาหาร
สามารถดูดซับจับความชื้นจากอากาศ
รับแร่ธาตุกักเก็บสารอาหารที่ถูกน้ำพัดพาทำหน้าที่คล้ายตู้เย็นพืช
จึงทำให้พืชโตเร็ว ต่อเนื่อง ผลผลิตเพิ่ม
ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีที่ซื้อมาเสริมเพิ่มเติมลงไป
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557
เลี้ยงกบแบบพอเพียงต้นทุนต่ำ
ท่าน
ที่ฟักไข่เองช่วงแรกๆก็ให้ลูกอ๊อดกินไรน้ำ หรือไรแดง
สลับกับผักกาดลวกกึ่งสุกกึ่งดิบ หรือเศษปลาต้มสุก บด
หรือเครื่องในสัตว์ต้มสุก หรือหอยเชอร์รี่ต้มสุกบด นำมาผสมกับรำละเอียด
เมื่อลูกอ๊อดเริ่มโตขึ้นก็เริ่มผสมหัวอาหารหรืออาหารสำเร็จรูป
แต่ค่อยๆผสมให้ทีละน้อยๆกินหมดในหนึ่งวัน
การฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูปแต่เนิ่นๆเป็นเรื่องที่ดี
ช่วยลดปัญหากรณีอาหารธรรมชาติอย่างปลวก ไส้เดือน จิ้งหรีด หนอนนก ฯลฯ
ไม่เพียงพอหรือหายากราคาแพงลงได้
เมื่อลูกกบอายุ
2 เดือนก็เริ่มให้อาหารสำเร็จรูปได้
หรือผสมร่วมกับอาหารธรรมชาติเพื่อลดต้นทุนการเลี้ยงก็ได้
ซึ่งส่วนใหญ่จะผสมอยู่ประมาณ 3:1ของอาหาร ยกอย่างเช่น ปลาสดบดผสมรำ 3
กิโลกรัมต่ออาหารสำเร็จรูป 1 กิโลกรัม
ช่วงเวลาจากลูกอ๊อดไปเป็นลูกกบใช้เวลา 40-45 วัน
และจากลูกกบไปเป็นกบเนื้อพร้อมจำหน่ายใช้เวลา 4-5 เดือน
นั้นหมายถึงกบมีความยาวประมาณ 4 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 200-300 กรัมต่อตัว
ช่วงไหนราคาไม่ดีปล่อยเลี้ยงต่อยังไม่จับ
เพราะยิ่งไซด์ใหญ่ยิ่งได้ราคาดีเป็นเงาตามตัว
ปัญหา
น้ำเน่าเสียก็ไม่แพ้เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง อยู่เหมือนกัน
ยิ่งให้อาหารเยอะก็ยิ่งกินเยอะและเหลือเยอะ แถมถ่ายเยอะอีกตังหาก
ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์น้ำก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็น กลิ่นคาว
กลิ่นฉุนของแอมโมเนียคละคลุ้งทั่วบริเวณ
แหละนั้นก็ต้องคอยถ่ายน้ำเสียทิ้งแล้วเปลี่ยนน้ำใหม่ตลอดเวลา
เพราะถ้าไม่เปลี่ยนหรือถ่ายทิ้ง
แอมโมเนียก็เพิ่มขึ้นจนทำลายเนื้อเยื้อบางๆหรือผิวหนัง
ทำให้กบเคลียดหรือตายได้เช่นเดียวกัน
บางครั้งต้องอาศัยหินภูเขาไฟอย่างสเม็คโตไทต์ที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ
มาคอยดักจับแอมโมเนียซึ่งมีเป็นประจุไฟฟ้าเป็นบวก
ช่วยยืดเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำและลดอัตราการตายลงได้ สอบถามข้อมูลวิชาการได้ที่
02-9861680-2 หรือผู้เขียน(081-3983128)
ท่านใดสนใจผลิตภัณฑ์ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Hotline สายด่วน 084-5554205-9
เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 11 กันยายน 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com
|
วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557
โรงเรือนเห็ดต้นทุนต่ำทำจากเหล็กแป๊ปเต้นรถเก่า
|
ปัจจุบัน
การเพาะเห็ดนั้นมีปัจจัยที่เข็มขัดสั้น (แฮะๆ คาดไม่ถึง)
หรือไม่คาดคิดหลายอย่างนะครับ เช่นสถานการณ์โลกร้อน (Global Warming)
และสภาพอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากอดีตเทียบกับปัจจุบัน (Climate
Change) สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างเห็ดรา (Macro Fungi)
ที่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าสัตว์ตัวโตๆและ
มนุษย์ จึงทำให้เกิดปัญหาในการดูแลให้เกิดดอก เรื่องโลกร้อนนั้น
ผู้ที่ติดตามข่าวก็จะทราบว่า คลื่นความร้อนนั้น (Heat Wave)
นั้นก็คร่าชีวิตมนุษย์ไปหลายชีวิตอยู่เหมือนกัน หรือแม้แต่ภาคเหนือ
เท่าที่ได้รับรู้ข้อมูลคือจังหวัดน่าน
อำเภอบ่อเกลือนั้นปัจจุบันก็เริ่มรับรู้ถึงปัญหาจากสภาพภูมิอากาศที่ร้อน
ขึ้นและปัญหาของเชื้อราแมลงศัตรูข้าวที่กำลังระบาดกันอยู่ในขณะนี้
จากแต่ก่อนไม่เคยพาลพบก็ยังต้องมาประสบพบเจอและที่สำคัญในระยะยาวถ้าเรายัง
ปล่อยให้โลกร้อน
การประกอบอาชีพเกษตรกรรมนั่นคงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างเพิ่มขึ้นมา
อย่างแน่นอน
ที่
จะมาแนะนำกับท่านผู้อ่านในวันนี้ก็ใช่ว่าจะหาของแพงๆให้เสียสตุ้งสตางค์กัน
ดอกหรอกนะครับ เพียงแต่อยากจะให้รู้จักสังเกตุ วิเคราะห์
และดัดแปลงวัสดุที่หาได้ใช้จากท้องถิ่น
ในกรณีที่จะพูดถึงนี้ก็คือการใช้เหล็กแป๊ปทำโรงเรือนอย่างง่าย
กว้างคูณยาวคูณสูง 4 x 6 x 2.5 หรือ. 3
เมตรก็ตามสะดวกให้ผลลัพธ์หรือประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน
แต่ที่สำคัญการทำโรงเรือนในลักษณะนี้จะเน้นที่ความง่าย ย้ายสะดวก
ต้นทุนไม่สูงมากนัก ไม่เกิน 5,000 บาท
คือพยายามให้ช่างต่อแบบประกอบข้อต่อที่ถอดออกและสวมเข้าได้ง่ายๆด้วยนะครับ
รอบตัวโรงเรือนอาจจะใช้แสลนด์ขึงพันรอบและทำหลังคาใช้ผ้าใบและถุงพลาสติกบุ
ด้านในหรือด้านนอกตามความเหมาะสม
ถ้าไม่ลำบากมากนักหลังคาแนะนำให้จากหรือหญ้าคานะครับ
ส่วนด้านข้างเป็นแสลนด์ไม่มีปัญหา
เพราะหน้าฝนนั้นหลังคาที่เป็นแสลนด์หรือผ้าใบอาจจะมีปัญหาเรื่องน้ำฝนรั่ว
ซึมหรือท่วมขังค้างบนหลังคา
น้ำหนักที่หน่วงหนักมากเกินไปอาจทำให้ผ้าใบหรือถุงพลาสติกฉีกขาดพังลงมาได้
ครับ สามารถไปดูต้นแบบได้ที่ ไทยกรีนอะโกรฟาร์ม 197 หมู่9 ต. รำมะสัก อ.
โพธิ์ทอง จ. อ่างทอง 14120 หรือโทร. 084-555-4205-9 ดูนะครับ
วัตถุ
ประสงค์หลักเน้นการบริหารจัดการโรงเรือนให้สอดคล้องเหมาะสมกับเห็ดแต่ละชนิด
ถ้าเป็นเห็นชอบร้อนก็ควรบุพลาสติกและผ้าใบให้แน่นหนา
ส่วนเห็ดที่ชอบเย็นก็สามารถที่จะปิดเปิดสแลนด์ระบายอากาศได้ไม่ยาก
โรงเรือนในลักษณะนี้ได้ไอเดียมาจากพี่ประดิษฐ์
นักธุรกิจที่เจอปัญหาวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540
ได้นำเต้นรถเก่าที่ส่วนใหญ่เป็นเหล็กแป๊ปไปดัดแปลงเพาะเห็ด
จุดเด่นที่สำคัญคือเคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างได้ง่าย ปรับแต่งได้ตามใจชอบ
สำหรับผู้เพาะเห็ดมือใหม่จะนำไปดัดแปลงปรับใช้ก็ไม่ว่ากันนะครับ
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
|
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557
วิธีการปราบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
การทำให้พื้นนาราบเรียบเสมอกันก็จะช่วยทำ
ให้ต้นข้าวแข็งระบายถ่ายเทน้ำก็สามารถปล่อยน้ำออกได้อย่างทันท่วงทีแตกต่าง
จากพื้นนาที่ลุ่มๆดอนๆ
เพราะเราจะสังเกตุเห็นเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดเป็นที่แรกตรงบริเวณที่ต้น
ข้าวขึ้นในแอ่งที่เป็นที่ลุ่ม การใช้เมล็พันธุ์เพียง 5-10
กิโลกรัมต่อไร่ก็สามารถช่วยทำให้การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดน้อย
กว่าแปลงนาที่มีการหว่านเมล็ดพันธุ์หนาแน่นมากถึง 20-30 กิโลกรัม
เพราะข้าวที่ได้รับแสงแดด ใบตั้งตรง
จะไม่อ่อนแอจากการทำลายของเชื้อราฉวยโอกาศทำให้ยากต่อการเข้าทำลายของแมลง
ศัตรูพืชด้วยเช่นกัน ข้าวที่ได้รับซิลิก้ามากๆ
ก็ให้ผลในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน (Silicon In Agriculture)
การ
ใช้มะพร้าวขูด 200 กรัม ยาฉุน 100 กรัม คั้นกับน้ำต้มสุกอุ่นๆ 1 ลิตร
แล้วนำน้ำที่ได้ไปผสมกับกาแฟแท้ 100% อีก 50 กรัม
นำส่วนผสมทั้งหมดไปผสมกับน้ำเปล่าอีก 200 ลิตรสูตรนี้ท่านอาจารย์สุวัฒน์
ทรัพยะประภา
ท่านว่ากระทิช่วยเป็นตัวแทนสารจับใบและกาแฟและยาฉุนจะทำให้หัวใจของเพลี้ย
กระโดดสีน้ำตาลเต้นแรงคือมีผลกระทบต่อระบบประสาทและออกฤทธิ์เป็นยาเบื่อนั่น
เอง. และีกวิธีหนึ่งที่ฮอทฮิตติดอันดับความนิยมต้นๆ
ก็คือการใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย
โดยเฉพาะบิวเวอร์เรียที่เสริมฤทธิ์ด้วยเมธาไรเซียมด้วยแล้วจะถือว่าให้ผลใน
การปราบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ดีค่อนข้างมากทีเดียวเชียวละครับ (ทริปโตฝาจ
Triptophaj) ใช้ผงสปอร์ประมาณ 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดพ่นทุก 3-7
วันเพลี้ยกระโดดจะเจ็บป่วยอ่อนแอหยุดนิ่งจากการติดยาเชื้อชีวภาพ
สปอร์
ของเชื้อราบิวเวอร์เรียและเมธาไรเซียมจะงอกออกมาชอนไชแทงทะลุเข้าไปในลำตัว
เพลี้ยจนอวัยวะภายในถูกทำลายจนเหลวแหลก
ตัวเพลี้ยที่ล้มตายและจะกลายเป็นแหล่งอาหารให้จุลินทรีย์พร้อมที่จะเจริญ
เติบโตแพร่เชื้อต่อออกไปอีกเรื่อยๆเพราะสภาพแวดล้อมในแปลงนาที่หนาแน่นไป
ด้วยต้นข้าวมีความชื้นสูงเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราทั้งสองชนิดนี้
เป็นอย่างดี
ทำให้แปลงนาข้าวที่มีจุลินทรีย์ชีวภาพอาศัยอยู่โดยปราศจากสารเคมีกำจัดศัตรู
พืชที่บ่อนทำลายชีวิตของเขาจะอยู่รอดปลอดภัย
มักจะไม่ได้รับความเสียหายจากเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
แตกต่างจากแปลงนาที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีพิษรุนแรง
เพราะจะทำให้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลดื้อยาและต้านสารเคมีทำให้ต้นข้าวยังถูก
ทำลายต่อไป
ท่านผู้อ่านและพี่น้องเกษตรกรที่ชื่นชอบแนวทางปลอดสารพิษพิชิตต้นทุนลองนำ
เทคนิคและวิธีการต่างๆดังที่ได้เขียนนี้ไปลองใช้กันดูนะครับ
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557
อยากรู้ไหมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลชอบระบาดในแปลงนาลักษณะใด
การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลถ้านับย้อนไปในอดีตก็ตั้งแต่ปี 2520
และก็จะระบาดอีกในปี 2530 และในปี 2540 รูปแบบการระบาดก็ยังห่างๆอยู่
ในระยะปี 2530-2540
นี้ก็เริ่มมีการค้นพบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกสอง
สามสายพันธุ์ที่แปลกๆจากเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลปรกติ
นี่อาจจะเป็นเพราะในห้วงช่วงนี้เรามีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชกันมากมาย
หลากหลายชนิดนั่นเองจึงทำให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างเจ้าเพลี้ยกระโดดสี
น้ำตาลนั้นกลายพันธุ์ขึ้นมา
ซึ่งถ้ามองมาถึงปัจจุบันก็จะมีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมายมายหลายชนิดทั้งปีก
สั้น ปีกยาว ปีกลาย ปีกหยัก ตัวผอม ตัวกลม ตัวเขียว ตัวดำ
และที่สำคัญความหนาแน่นต่อต้นต่อกอก็มากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมายหลายเท่าตัว
จนหลักการที่จะให้แมลงตัวดีหรือตัวห้ำตัวเบียนคอยควบคุมจับกินในอัตรา
ตัวดีหนึ่งตัวคุมแมลงศัตรพืชตัวร้ายเก้าหรือสิบตัวนั้นไม่ได้
และที่สำคัญมาในช่วงปี 2550 เป็นต้นมานั้นเราจะสังเกตุว่า
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลนั้นระบาดติดต่อกันเป็นประจำแทบทุกปีเลยทีเดียวเชียว
ล่ะครับ
และมีการระบาดหนักมากๆในห้วงช่วงปี 2552
จนเป็นข่าวดังไปทั้งประเทศในกรณีที่มีเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพร
รรณบุรีที่มีการปลุกเสกยันต์กันเพลี้ยแจกชาวบ้านนำไปปักไว้ในแปลงนา
ปรากฎว่าชาวบ้านนิยมชมชอบมากกว่าการใช้ยาฆ่าแมลงเสียอีกเพราะใช้แล้วดู
เหมือนว่าจะให้ผลลัพธ์ดีกว่า
ในห้วงช่วงนั้นชาวบ้านจะยังไม่ค่อยรู้จักยาเชื้อบิวเวอร์เรียและเมธาไรเซียม
กันแพร่หลายมากเท่าใดนักเหมือนในปัจจุบันนี้
การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
จากระยะตัวเต็มวัยผสมพันธุ์ออกไข่ใช้ระยะเวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์
หลังจากนั้นสี่ซ้าห้าวันก็เป็นตัวอ่อนและลอกคราบอีกห้าครั้งใข้ระยะเวลา
ประมาณ 15-16 วัน
คือประมาณสามสี่วันลอกคราบครั้งหนึ่งจึงเข้าสู่ระยะตัวเต็มวัยอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าเฉลี่ยไข่ของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลออกมา 200 ฟอง เป็นตัวผู้ 100
ฟองและเป็นตัวเมีย 100 ฟอง
ใช้ระยะเพียงสองสามเดือนเค้าจะสามารถขยายจำนวนได้หลายล้านตัว
นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่แมลงศัตรูพืชธรรมชาติไม่สามารถควบคุมประชากรของ
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ในภาวะที่มีการระบาดหนักเกินระดับเศรษฐกิจ
หาก
เราย้อนไปดูและสังเกตุการเข้าทำลายของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลนั้นจะเห็นเข้า
ระบาดในพื้นที่ลุ่มก่อนเป็นลำดับแรก
เพราะพื้นที่ลุ่มเป็นแหล่งรวมแร่ธาตุสารอาหารหรือปุ๋ยที่หว่านลงไปมากองรวม
ทำให้ข้างงอกงามอวบอ้วนอ่อนแอง่ายต่อการเข้าทำลายของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
และถ้าเราหัดสังเกตุต่อไปในพื้นที่บนคันนาที่มีเมล็ดข้าวร่วงหล่นแบบไม่
ตั้งใจและเจริญเติบโตเป็นกอข้าวที่ไม่มีใครใส่ใจดูแล
จะพบว่าข้าวที่เติบโตบนคันนาจะไม่พบเพลี้ยกระโดดเข้าทำลายแม้แต่ตัวเดียว
การแก้ปัญหาของพี่น้องเกษตรชาวนาด้วยไขระบายน้ำออกเมื่อมีการระบาดของเพลี้ย
กระโดดสีน้ำตาลเพื่อบรรเทาการระบาด
แต่แปลงนาที่มีพื้นนาไม่ราบเรียบเสมอกันทั้งแปลงจะไม่สามารถหยุดการเข้า
ทำลายของเพลี้ยได้เลย
เพราะจะอย่างไรพื้นที่นาที่ลุ่มๆดอนๆน้ำก็ไหลออกไปไม่หมดอย่างแน่นอน
สาเหตุ
อีกอย่างหนึ่งของการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลคือการหว่านข้าวแน่น
ใช้เมล็ดเยอะ และสุดท้ายก็ต้องใข้ปุ๋ยเพิ่มตามมาด้วย
ทำให้ต้นข้าวกลับไปสู่เงื่อนไขอวบอ้วนใบโค้งงอคำนับเจ้าของ
ง่ายต่อการเข้าทำลายของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลได้ง่าย
ฉะนั้นการทำให้ต้นข้าวเตี้ยแข็งใบตั้งชูสู้แสงจึงช่วยลดการเข้าทำลายได้มาก
จึงยากฝากพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ชาวนาให้พึงระลึกนึกถึงการปลูกข้าวทำนา
ต้องพยายามทำให้ต้นข้าวแข็งแรง ไม่อ่อนแอจากการใส่ปุ๋ยที่มากเกินควร.
และในช่วงเวลาที่เหมาะสมคือใส่ปุ๋ยช่วงระยะแตกกอ
ทำพื้นนาให้เรียบเสมอทั้งแปลง
หรือเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผนังเซลล์ด้วยซิลิก้าจากหินแร่ภูเขาไฟก็จะช่วย
ผ่อนปัญหาที่รุมเร้าอย่างหนักให้กลายเป็นเบาได้ไม่ยาก
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
|
วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557
วิธีป้องกันกำจัดโรคข้าวที่กำลังระบาดทางภาคอีสานด้วย” จุลินทรีย์ไตรโคเดอร์ม่า”
ปัญหา
เรื่องโรคต่างๆเกี่ยวกับข้าว
ถ้าเป็นชาวนาในเขตภาคกลางหรือภาคเหนือตอนล่างแล้ว
ส่วนมากจะรู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถสังเกตุอาการ วิเคราะห์อาการ
และหาวิธีแก้ไขกันได้อย่างทันท่วงที
แต่ถ้าเป็นเกษตรกรในเขตภาคเหนือตอนบนหรือว่าทางเขตภาคอีสานของประเทศไทยแล้ว
ต้องบอกว่าถือเป็นอะไรที่ใหม่มากๆ
โดยปกติแล้วการทำนาในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนหรือทางภาคอีสานจะทำนาได้ปีล่ะ 1
ครั้ง เรียกกันว่าการทำนาปี
ซึ่งพันธุ์ข้าวที่นิยมปลูกกันจะเป็นข้าวหอมมะลิ(ทำไว้เพื่อขาย)
และก็ข้าวเหนียว(ทำไว้รับประทาน)
ในการทำนาในเขตภาคอีสานนั้นแทบจะไม่มีปัญหาเรื่องโรคของข้าวรบกวนเลย
จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เป็นคนพื้นเพภาคอีสาน เป็นลูกชาวนา
ทำนามาตั้งแต่เด็กแล้ว
การทำนาในพื้นที่ภาคอีสานจะไม่มีการฉีดย่าฆ่าแมลงเลยจะเรียกว่าการทำนาในภาค
อีสานเป็นข้าวปลอดสารพิษก็ว่าได้
ส่วนมากก็ใส่ปุ๋ยตามระยะเวลาของการเจริญเติบโตของข้าว เท่านั้น
จนกระทั่งมาปีที่แล้ว ปี พ.ศ.2556 มีการระบาดของโรคข้าวขึ้นในเขตภาคอีสาน
ซึ่งโรคที่เกิดขึ้นก็คือโรคใบไหม้ที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อรา
ลักษณะอาการของโรคใบไหม้
ใบข้าวจะเริ่มเหลืองที่ปลายยอดไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึงโคนต้น
ใบข้าวจะค่อยๆเหี่ยวและข้าวก็จะยุบตายในที่สุด
แต่ชาวนาในภาคอีสานเมื่อเห็นอาการข้าวปลายเริ่มเหลืองก็คิดว่าเป็นอาการขาด
ปุ๋ยของข้าว
รีบไปหาซื้อปุ๋ยมาใส่กันใหญ่แต่ข้าวก็ไม่เขียวขึ้นมาแต่กลับเหลืองลงไปอีก
จนมารู้อีกทีข้าวก็ยุบตายไปหมดแล้ว
พอมาปีนี้ก็มีการระบาดของโรคเชื้อราในนาข้าวเกิดขึ้นมาอีกแล้ว
ทางผู้เขียนเลยต้องรีบมาเตือนให้เกษตรกรที่ทำนาในพื้นที่ภาคอีสานรับทราบ
ข้อมูลและวิธีการแก้ไขให้ทันท่วงที
เกษตรกรที่ทำ
นาควรไปสำรวจแปลงนาข้าวของตัวท่านเองว่ามีอาการดังต่อไปนี้หรือไม่ เช่น
ต้นข้าวปลายใบเหลืองเป็นหย่อมๆ หรือเริ่มเหลืองทั่วทั้งแปลง
อาการเหมือนข้าวขาดปุ๋ย
หรือว่าข้าวที่นายังเขียวดีแต่แปลงใกล้ๆเริ่มแสดงอาการใบเหลือง
ถ้าเกษตรกรไปสังเกตแปลงนาแล้วพบอาการเหมือนที่ผู้เขียนกล่าวมาให้รีบนำ
ไตรโคเดอร์ม่า(จุลินทรีย์ป้องกันกำจัดเชื้อรา)
ไปฉีดพ่นให้ทั่วแปลงนาเพื่อยับยั้งโรคใบไหม้
การฉีดพ่นไตรโคเดอร์ม่าควรฉีดพ่นให้ระเอียดฉีดให้ทั่วทั้งบนใบปลายใบ ลำต้น
และไม่ควรใช้ไตรโคเดอร์ม่าร่วมกับยาฆ่าเชื้อราที่เป็นเคมีเพราะจะทำให้
ประสิทธิภาพของเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าลดลงหรือทำให้เชื้อตายไปเลย
ข้อแนะนำเพิ่มเติมควรผสม ซิลิโคเทรซ(ธาตุอาหารรองเสริมรวม)
ผสมฉีดร่วมกับไตรโคเดอร์ม่าเพื่อให้ซิลิโคเทรซเป็นอาหารเสริมทางใบช่วยให้
ข้าวที่เหลืองกลับมาฟื้นเขียวดังเดิม
ซิลิโคเทรซจะช่วยทำหน้าที่เปรียบเสมือนน้ำการให้น้ำเกลือแก่คนป่วยที่นอนโรง
พยาบาล ให้ข้าวฟื้นมีชีวิตชีวาขึ้นมา ข้าวกลับมามีภูมิต้านทานต่อโรคเชื้อรา
สอ[ถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คุณจตุโชค จันทรภูมี (ผู้เขียน)
โทร.085-9205846 หรือสอบถามไปที่เบอร์ call center โทร.0845554205 – 9
เขียนและรายงานโดย : นายจตุโชค จันทรภูมี
|
วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557
เมลาโนสลงผลมะนาว ผิวเปลือกแห้งไหม้เสียหายขายไม่ออก
ผู้
ที่ปลูกมะนาวไม่ว่าจะเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม
ก็ไม่ควรมองข้ามโรคเมลาโนสหรือราน้ำหมาก
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใบและผลมะนาวเสียหาย
ถ้าเกิดที่ผลจะทำให้สีผิวของเปลือกจากที่เคยเขียวมันเงา
ก็จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงด้านคล้ายๆกับว่าโดนไฟไหม้
แล้วค่อยๆขยายลุกลามจาก 1 ลูก 2 ลูก 3
ลูกเพิ่มขึ้นออกไปเรื่อยๆจนระบาดทั้งสวน
เมลา
โนสหรือราน้ำหมากมักพบระบาดในมะนาวแป้นพิจิตร1ที่ปลูกระยะชิด
เริ่มจากใบเป็นจุดด่างๆหรือกระที่บริเวณผิวใบ
มีคราบคล้ายๆน้ำหมากเป็นจุดๆสีน้ำตาลบริเวณใต้ใบ
พบระบาดช่วงเดือนตุลาคมถึงเมษายน
โดยเฉพาะใบหรือผลที่อยู่ใกล้โคนต้นและแสงแดดส่องไม่ถึง
ปกติจะเป็นเฉพาะใบเพสลาดจนถึงใบแก่ ใบอ่อนจะไม่ค่อยพบระบาดเท่าใดนัก
เกษตรกร
ที่ปลูกแป้นพิจิตร1หลายต่อหลายท่านต่างก็บ่นใหัผู้เขียนฟังว่าที่สวนก็เป็น
เหมือนกัน ยิ่งไว้ยิ่งเสียหายยิ่งลุกลามไม่รู้จะแก้ยังไงแล้ว
และอีกอย่างไม่มีนูนหรือตกสะเก็ดเหมือนแคงเกอร์ เนื้อและน้ำข้างในดีปกติ
แต่แค่ผิวเปลือกไหม้อย่างเดียว
ผิวไม่สวยไม่มีราคาชนิดที่ว่าแม่ค้าไม่หันมองเลยแล้วกันละครับ
เมลาโนสหรือราน้ำหมาก เกิดจากเชื้อรา Cercospora citri
ระบาดมากช่วงแล้งหรือประมาณเดือนตุลาคมถึงเมษายน มักพบที่ใบมากกว่าผล
รุนแรงมากๆอาจทำให้กิ่งแห้งตายได้เช่นเดียวกัน
ส่วน
การป้องกันนั้นเหรอครับเริ่มจากตัดแต่งกิ่งหรือทรงพุ่มไม่ให้รกทึบแสงสามารถ
ส่องผ่านได้ถึง จากนั้นก็ฉีดพ่นด้วยพลายแก้ว 100
กรัม(5ช้อนแกง)ร่วมหรือสลับกับซิลิโคเทรซ 10 กรัม+ซิงค์คีเลท 25 กรัม
ต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกๆ 5-7 วันครั้ง
ที่สำคัญก่อนผสมยาฮอร์โมนทุกครั้งให้ปรับสภาพน้ำเสริมซิลิก้าด้วยซิลิซิคแอ
ซิค เท่านี้เมลาโนสหรือราน้ำหมากก็ค่อยๆลดลงและหายไป
รุ่นใหม่ๆออกมาผลก็จะเต่งผิวก็จะสวยมันวาวขึ้นเงาเหมือนธรรมชาติ
สอบถามข้อมูลวิชาการได้ที่ 02-9861680-2 หรือผู้เขียน (081-3983128)
ส่วนท่านใดสนใจผลิตภัณฑ์ติดต่อสั่งซื้อได้ที่ Hotline สายด่วน
084-5554205-9
เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.comวันที่ 3 กันยายน 2557
เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com
|
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557
เซฟมะนาวผิวเสียตกเกรดด้วยพลายแก้ว
มะนาว
ตกเกรดไม่ได้คุณภาพ ขายไม่ออก ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่พอตัวอยู่สำหรับผู้ปลูก
แปดสิบเปอร์เซ็นต์มาจากแคงเกอร์ที่คอยระบาดสร้างปัญหาทั้งที่ลำต้น
บนกิ่งก้านใบหรือแม้แต่ผล จะทิ้งจุดสีน้ำตาลคล้ายสนิมเหล็กดูไม่สวย
ผลพวงมาจากเชื้อแบคทีเรียโรคพืชและยังแพร่ขยายลุกลามระบาดไม่จบไม่สิ้น
มักพบในมะนาว มะกรูด ส้มโอฯลฯ
โดยจะทิ้งร่องรอยแผลเป็นจุดนูนสีน้ำตาลเล็กๆล้อมรอบด้วยวงสีเหลืองตรงกลางมี
รอยบุ๋ม
เกษตรกรส่วนใหญ่มักแก้ปัญหาด้วยการฉีดพ่นคอปเปอร์ไฮดรอกไซด์หรือคอปเปอร์ออก
ซีคลอไรด์
หากใช้บ่อยๆและติดต่อกันนานๆอาจทำให้มะนาวติดผลน้อยหรือดอกร่วงได้
แค
งเกอร์มักพบระบาดช่วงหน้าฝน ยิ่งฝนตกชุกตกบ่อยก็ยิ่งระบาดมาก
เนื่องจากหน้าฝนมะนาวจะแตกใบอ่อนและอ่อนแอกว่าหน้าแล้ง
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้แคงเกอร์ระบาดแพร่กระจายได้รวดเร็ว
โชคดีก็แค่เป็นจุดเหลืองลายตามใบไม่ถึงผล รอบใหนโชคไม่ดีแคงเกอร์ลงที่ผล
ผิวขลุขละคล้ายขี้กลากดูไม่สวย ถึงแม้ผลจะโตแต่ตลาดก็ไม่ต้องการ
ราคาตกหรือได้ก็ไม่เต็มราคา มีแต่เสียกับเสีย
รู้แล้วก็อย่าปล่อยให้แคงเกอร์ระบาดจนควบคุมไม่ทันละครับ
แค
งเกอร์หรือจุดสนิมตามใบป้องกันได้ด้วยพลายแก้วไม่จำเป็นต้องใช้ผงเขียวคอ
ปเปอร์ไฮดรอกไซด์หรือคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ เพียงแค่ฉีดพ่นพลายแก้ว 100
กรัม(5ช้อนแกง)ต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกๆ 7 วันครั้ง
แค่นี้มะนาวของท่านก็ปราศจากแคงเกอร์แล้วละครับ
เนื่องจากพลายแก้วเป็นจุลินทรีย์ที่ควบคุมการระบาดของแคงเกอร์โดยตรง
มะนาวที่ฉีดพ่นพลายแก้ว ผลก็จะเขียว ผิวก็จะมันวาวขึ้นเงาจากแว็กธรรมชาติ
และที่สำคัญช่วยประหยัดต้นทุนผลิต สอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-9861680-2
หรือผู้เขียน (081-3983128)
เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 2 กันยายน 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)