ปัญหาภัยธรรมชาตินั้นยังคงย่างกรายทายท้ามนุษยชาติไม่เว้นไปในแต่ละปี
ในรูปแบบที่ผิดแผกแตกต่างกันไปบ้างก็เพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นฝนตก น้ำท่วม
สึนามิ แผ่นดินไหว ภัยหนาว ความแห้งแล้ง
มีผลกระทบต่อผู้คนชนบนโลกในรูปแบบที่แตกต่างกันไป บ้างก็พออกพอใจ บ้างก็อกสั่นขวัญหายไปกับการสูญเสียจากผลกระทบที่ได้รับ
บางครั้งก็ถึงแก่ชีวิต บางครั้งก็เกิดการพลัดพราก
บางครั้งก็นำความสุขสบายมาในรูปแบบอากาศที่เย็นฉ่ำโดยเฉพาะในตัวเมืองที่มี
ฝุ่นควัน ไอเสีย ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากๆ
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว จึงทำให้อากาศในโซนดังกล่าวนั้นก็จะมีความรู้สึกที่พอเหมาะพอดีโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร
อย่างไรก็ตามภัยธรรมชาตินั้นก็มีหนักหน่วงรุนแรงและบางเบาแตกต่างกันไปและสร้างผลกระทบต่อผู้คนไม่เหมือนกันในแต่ละพื้นที่ก็ต้องดัดแปลงแก้ไขให้มีความสามารถที่จะดำรงคงอยู่ให้ได้ในโลกใบนี้
โดยเฉพาะผู้คนชนเกษตรกรรมนั้นมักจะต้องมีความเกี่ยวข้องผูกพันกับธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นโอกาสหรืออุปสรรคที่เข้ามาล้วนจะต้องมีความรู้สึกที่ฉับไวกว่าผู้คนชนโรงงานและออฟฟิศ
ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องกังวลกับเรื่องสภาพภูมิอากาศมากเหมือนกับอาชีพ เกษตรกร
เนื่องด้วยไม่ว่าจะหนาวร้อนหรือฝน(ยกเว้นน้ำท่วม)
เขาเหล่านั้นก็ยังคงจะสามารถทำงานกันได้ภายใต้อาคารหรือสถานที่ที่กำหนดไว้
แตกต่างจากผืนนาผืนไร่เรือกสวนไร่นาที่ตากแดดตากลมห่มฟ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจึงไม่พ้นที่จะต้องได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติโดยตรงไม่ว่าใน
กรณีใดๆ จะมีอยู่บ้างที่อาชีพเกษตรกรรมจะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเล็กน้อยก็จะ
เป็นกลุ่มที่ปลูกแบบทดลอง วิจัย ปลูกแบบไฮโดรโพนิกส์ ปลูกแบบคนเมือง
ซึ่งก็เป็นส่วนน้อยนักเมื่อเทียบกับบรรพชนคนไทยทั้งประเทศที่มีพื้นฐานการทำ
อาชีพเกษตรกรรมทำหรือผลิตอาหารมาป้อนคนเมือง และผู้คนชนทั่วโลก
จาก ฝน พ้นหนาว
บ้านเมืองเราขณะนี้ก็กำลังย่างก้าวเข้าสู่ภัยแล้งอีกแล้วล่ะครับท่านผู้อ่าน
งานที่สำคัญด้านการเกษตรในระยะนี้เห็นทีจะไม่พ้นการเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำ
ประจำไร่นา จะต้องดูแลรักษาให้มีคุณภาพในการดำรงคงอยู่ของน้ำไว้ให้มากที่สุด
มิให้หลุดลอดรั่วไหลออกไปโดยไม่จำเป็นให้มากเกินไปนัก
เกษตรกรที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำแหล่งชลประทานและยังมิได้เตรียมการเรื่องบ่อ
เรื่องสระน้ำประจำไร่นาก็ควรรีบเตรียมการจะขุดจะกักแล้วรีบนำน้ำเข้ามาสำรอง
เตรียมไว้ใช้ อาจจะขุดเจาะบ่อบาดาล หรือบ่อโยกบ่อสาว เพื่อให้ได้มีน้ำไว้ใช้ในการเกษตรก็รีบทำ
อนึ่งพื้นบ่อที่อยู่ในพื้นที่ดินทรายมีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำไม่ค่อยจะ ดีนัก
ก็ควรจะใช้ สารอุดบ่อ (กลุ่มของคาร์โบฮัยเดรท ในรูปโพลิเอคริลาไมด์) ในอัตรา 2 กิโลกรัม คลุกผสมกับ เบนโธไนท์ หรือ สเม็คโตไทต์ ในอัตรา 100 กิโลกรัม คลุกผสมให้เข้ากัน
แล้วนำไปหว่านกระจายให้ทั่วพื้นบ่อหรือริมผนังกั้นบ่อให้ทั่ว
สารอุดบ่อจะทำปฏิกิริยา สเม็คโตไทต์
ทำหน้าที่คล้ายดินเหนียวและสารอุดบ่อจะพองขยายขนาดอุดรูรั่วรอยโหว่ที่จะทำ
ให้น้ำนั้นรั่วซึมออกไป บางคนอาจจะเตรียมการหลังขุดบ่อใหม่ๆ
ด้วยการใช้รดแทรกเตอร์บด อัด พื้นบ่อให้แน่น ด้วยกรวดหยาบ กรวดละเอียด
แล้วจึงโรยด้วยสารอุดบ่อตามสูตรที่ได้แนะนำไป จึงค่อยปล่อยน้ำ
สารอุดบ่อจะช่วยทำให้เกิดเมือก (คล้ายนิทานเรื่องไอ้ขี้มูกมาก
ที่สั่งขี้มูกอุดรูรั่วของเรือ) ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำรั่วซึมในสระน้ำประจำไร่นา
ช่วยให้พีน้องเกษตรกรสามารถมีแหล่งกักเก็บน้ำไว้ทำการเกษตรกรรมประจำปี
เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีและต้นทุนของเมืองนอกเมืองนาที่จะต้องใช้เงินตรา
มากกว่าแสนบาทต่อไร่ หรือบางครั้งเป็นล้านบาทต่อไร่ ใช้วิธีการทำแบบไทยๆ
ใช้สารอุดบ่อ ใช้เมือกธรรมชาติต้นทุนประมาณ 1,500
บาทต่อไร่ใช้กักเก็บน้ำได้เป็นแรมปี
สนใจก็ติดต่อสอบถามข้อมูลไปยังชมรมเกษตรปลอดสารพิษ โทรศัพท์ 0-2986-1680 -2 หรือเว็บไซด์ www.thaigreenagro.com
มนตรี บุญจรัส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น