วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มะนาวมาแรง ราคาดีไม่มีตก



ที่ ผ่านมามะนาวราคาค่อนข้างสูงและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะหน้าแล้ง เนื่องจากติดผลน้อย ในขณะที่ตลาดมีความต้องการเท่าเดิม หลายฝ่ายหลายภาคส่วนต่างก็สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกมากขึ้น ทั้งลงดินตามธรรมชาติ ในวงบ่อซีเมนต์ ในกระถาง ฯลฯ หลากหลายรูปแบบแล้วตามความถนัดใจ สำหรับคนที่พึ่งจะหัดทำเกษตรหรือมีพื้นที่น้อยแต่สนใจจะปลูกไว้บริโภคในครัว เรือนประเภทตู้กับข้าวข้างบ้าน อาจจะปลูกบนระเบียง ใส่กระถางวางข้างบ้านก็กระทำได้

ปลูกใส่กระถางง่ายเหมาะ กับคนเมือง พื้นที่น้อยปลูกเล่นต้นสองต้นไมีคาดหวังอะไรมากแค่ใช้สอยในครัวเรือน ทำก็ง่ายแค่นำดินปลูกที่ผสมยี่ห้ออะไรก็ได้ 5 ส่วน ปุ๋ยคอก 3 ส่วน พูมิชซัลเฟอร์(ชนิดผง) 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน เจาะหลุมลึกประมาณ 20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 15-20 เซนติเมตร จากนั้นก็นำต้นกล้าหรือกิ่งตอนลงปลูก กลบทับด้วยดินปลูกเบาๆ คลุมด้วยฟางข้าวหรือเศษหญ้าแห้ง รดน้ำให้ชุ่ม ส่วนพันธุ์นั้นพันธุ์อะไรก็ได้ขอให้ชอบเป็นพอ ยิ่งถ้าเปลือกบาง น้ำเยอะ และมีกลิ่นหอมยิ่งดีคูณสอง ขอเสียของมะนาวในกระถางก็คืออายุไม่ยืนยาว 4-5 ปีรากก็จะเต็มกระถางเบียดเสียดกันแน่นได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอ จากนั้นก็เฉา ใบเริ่มเหี่ยวสุกร่วง ไม่ค่อยติดลูกแม้จะใส่ปุ๋ยต่อเนื่องหรือมากก็ตาม ทางเดียวก็คือรื้อออกแล้วปลูกต้นใหม่

เรื่องหนอน แมลงกัดกินช่วงใบอ่อนอย่าเพิ่งกลัว มีบ้างแต่ควบคุมป้องกันได้ไม่ต้องกังวลจนเสียกาลเสียงานละครับ ท่านอาจจะใช้ยาฉุน(ยาเส้น) 1 ซอง (5-6 บาท/ซอง) แช่น้ำ 1 ลิตร ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง กรองด้วยผ้าบางเอาแต่น้ำสีชามาผสมกับน้ำส้มสายชู 5 ซีซี. กวนให้เข้ากันก่อนใส่ฟ๊อกเกอร์ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งบนใบใต้ใบชนิดชุ่มโชก ทุกๆ 5-7 วันครั้ง กลิ่นยาฉุนและน้ำส้มสายชูจะไปรบกวนหนอน แมลง ไม่ให้เข้าทำลาย นอกจากนั้นน้ำส้มสายชูยังช่วยเร่งปฏิกิริยาให้ยาฉุนออกฤทธิ์ดียิ่งขึ้น รับรองสูตรนี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้และสัตว์เลี้ยงอย่างแน่นอน หากไม่มีเวลาก็หาซื้อสารสกัดใบยาสูบสำเร็จรูปมาแทนก็ได้ ส่วนแคงเกอร์หรือจุดสนิมตามใบก็ให้ฉีดพ่นด้วยพลายแก้ว ทุกๆ 7 วันครั้ง มะนาวของท่านก็จะปราศจากแคงเกอร์ เนื่องจากพลายแก้วเป็นจุลินทรีย์ที่ควบคุมการระบาดของแคงเกอร์โดยตรง ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-9861680-2 หรือผู้เขียน (081-3983128) 

เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.comวันที่ 1 กันยายน 2557 
เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลกำลังมา



โลกร้อนเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแมลง ยิ่งอุณหภูมิสูงยิ่งทำให้แมลงฟักตัวเร็ว ทำให้เจริญเติบโตและแพร่พันธุ์รวดเร็ว เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลถือว่าเป็นแมลงศัตรูข้าวหมายเลขหนึ่งของชาวนา ตัวอ่อน-ตัวเต็มวัยของเพลี้ยจะเข้าทำลายต้นข้าวโดยอาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงจาก ท่ออาหารบริเวณโคนต้นเหนือระดับน้ำเล็กน้อย ต้นข้าวที่ถูกทำลายใบจะเหลืองแห้งคล้ายถูกน้ำร้อนลวก ถ้าระบาดมากใบจะเหลืองแห้งเป็นหย่อมๆทั่วแปลงนา
การทำลายของ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงแก่ต้นข้าว นอกจากนี้ยังเป็นพาหะนำโรคเขียวเตี้ยและโรคใบหงิกจากเชื้อไวรัสมาสู่ต้นข้าว อีกด้วย 

การอัดปุ๋ยเคมีเร่งการเจริญเติบโตโดย เฉพาะปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงๆ ยิ่งกระตุ้นให้ประชากรเพลี้ยเพิ่มปริมาณมากขึ้นและรวดเร็ว เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นแมลงที่สร้างความเสียหายให้แก่ชาวนาเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะในที่นาภาคกลาง เนื่องจากทำต่อเนื่องตลอดทั้งปีส่งผลให้เพลี้ยมีแหล่งอาหาร สามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ปีใดระบาดมากปีนั้นผลผลิตข้าวจะเสียหายหนัก ใช้เวลาแค่ชั่วข้ามคืนเท่านั้นเอง

ชีวภาพอย่าง สมุนไพร จุลินทรีย์ก็ทางออกหนึ่งที่ช่วยควบคุมการระบาดของเพลี้ยได้ ยังช่วยลดสารเคมีอันตราย ลดต้นทุนการผลิต ป้องกันสารพิษตกค้าง ดินก็ไม่เสื่อมระบบนิเวศน์ก็ไม่เสีย แมลงตัวห้ำตัวเบียนก็ไม่ถูกทำลายอย่างทุกวันนี้ ท่านเคยสังเกตไหม แมลงปอที่เคยบินโฉบไปโฉมมาตามท้องทุ่ง หรือไม่ก็แมงมุมที่ชักใยตามใบข้าวกลางท้องนาหายไปไหน ผู้เขียนกำลังจะบอกว่าที่มันหายก็เพราะท้องทุ่งท้องนามีแต่สารเคมี สารพิษที่คอยทำลายชีวิตและห่วงโซ่อาหารของแมลงหรือแมงพวกนี้ ไม่อนุรักษ์ไว้เอาทำลายอย่างทุกวันนี้ วันข้างหน้าเราก็ไม่มีแมลงดีๆคอยพิทักษ์ท้องทุ่ง คอยป้องกันแมลงศัตรูให้ข้าว

เมื่อผู้พิทักษ์น้อย ลงแต่ศัตรูเท่าเดิมหรือมากกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาครับที่ต้องหาตัวช่วย แต่ก็ต้องดู ต้องเลือก คิดนิดหนึ่งว่า ช่วยส่งเสริมผลักดันหรือ(หนี้)ซ้ำเติม(ตาย)ผ่อนส่ง ท่านคงเข้าใจเจตนาที่ผู้เขียนกล่าวนะครับ แต่ท่านจะเลือกอย่างไร สิ่งใด วิธีไหนสร้างหนี้เพิ่มหรือลดต้นทุนคืนสู่ธรรมชาติคืนบรรยากาศเก่าๆให้ท้องทุ่งท้อง นา มันเป็นสิทธิ์ของท่าน ผู้เขียนห้ามหรือไปเปลี่ยนความคิดของท่านไม่ได้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 081-3983128 (ผู้เขียน)

เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 29 สิงหาคม 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หนอนชอนใบมะนาว



มะนาว เป็นพืชที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในขณะนี้ การป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับมะนาวจึงเป็นที่สนใจอกสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะหนอนชอนใบที่มักจะเข้าทำลายช่วงมะนาวแตกใบอ่อนถึงแก่ ซึ่งการป้องกันก็ทำได้ยากลำบากเนื่งจากตัวเล็กเท่าเส้นด้าย มุดซ่อนตัวตามผิวเปลือกใบ ฉีดพ่นยาสัมผัสตัวได้ยาก เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนอนไม่ตาย เป็นพวงให้หนอนเกิดการดื้อปราบเท่าไรก็ไม่หมดเสียที หนอนชอนใบเกิดจากแม่ผีเสื้อกลางคืน ซึ่งมักจะออกมาวางไข่บนใบมะนาวในเวลากลางคืนช่วงมะนาวแตกใบหรือเพสลาด(กลาง แก่กลางอ่อน) เมื่อไข่ฟักตัวเป็นหนอนก็จะเริ่มชอนไชเข้าทำลายผิวเปลือกใบ ทิ้งให้ดูต่างหน้าแค่รอยด่างขาวๆเป็นเส้นยาวต่อเชื่อมกันคล้ายแผนที่ลายแทง

การ ใช้สารเคมีเข้ามาควบคุมป้องกันไม่ใช่ทางออกที่ดียั่งยืนถาวร ในระยะยาวอาจทำให้สุขภาพผู้ใช้พลอยแย่ไปด้วย มิหนำซ้ำมะนาวก็อายุสั้นทำให้สิ้นเปลืองปุ๋ยยาฟรีๆ เนื่องจากระบบนิเวศน์ในแปลงทั้งดิน น้ำ อากาศ จุลินทรีย์ แมลงตัวห้ำตัวเบียนถูกทำลาย เมื่อความสมดุลของธรรมชาติเริ่มหายไป บวกโรคแมลงศัตรูเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ความต้องการใช้สารพิษในควบคุมก็มากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น หนี้สินก็มากขึ้น มีสองอย่างที่ลดลงคือสุขภาพที่แย่ลงกับอายุที่เหลือน้อยลง อีกทั้งยังพาให้ผู้บริโภคอายุลดน้อยลงด้วย

หนอน ชอนใบป้องกันควบคุมได้โดยที่ไม่ต้องใช้สารเคมีเลย เพียงแค่นำกากกาแฟสด 1 กิโลกรัม แช่น้ำเปล่า 1 ลิตร นาน 2-3 ชั่วโมง กรองด้วยผ้าบางเอากากกาแฟออกแล้วนำไปผสมน้ำเปล่าเพิ่ม 100 ลิตร ฉีดพ่นไล่แม่ผีเสื้อมาวางไข่และเบรคการทำลายของหนอนได้ เพราะกลิ่นไหม้ของเม็ดกาแฟคั่วจะช่วยยับยั้งการกิน สามารถหยุดการทำลายของแมลง หนอน เพลี้ยได้ดีที่หนึ่งเลยละครับ ยิ่งฉีดพ่นร่วมกับบาซิลลัส ธูริงเจนสิส(บีทีหรือสลับกับบิวเวอร์เรีย(ทริปโตฝาจ) ยิ่งเสริมฤทธิ์ทำลายหนอนชอนใบเพิ่มยิ่งขึ้น โดยปกติบาซิลลัส ธูริงเจนสิสและบิวเวอร์เรียพบในธรรมชาติทั่วไปอยู่แล้วไม่เป็นอันตรายต่อผู้ ใช้และสัตว์เลี้ยง แต่เนื่องจากระบบนิเวศถูกทำลายเชื้อส่วนหนึ่งก็ถูกทำลายไปด้วย จึงต้องฉีดพ่นเพิ่มปริมาณให้สามารถควบคุมการระบาดของแมลงหรือหนอนชอนใบได้ นอกจากนี้กลิ่นของกากกาแฟสดยังช่วยผ่อนคลายลดความตึงเคลียด และยังให้บรรยากาศที่สดชื่นตลอดเวลาทำงานเลยละครับ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-9861680-2 หรือผู้เขียน (081-3983128)

เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 28 สิงหาคม 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ปูนขาวใช้จับก๊าซจับกลิ่นของเสียจากแอมโมเนียในเล้าไก่คอกหมูไม่ได้




มี เกษตรกรหลายคนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการใช้กลุ่มวัสดุปูนที่นำมาใช้หว่าน จับกลิ่นเหม็นและก๊าซของเสียในคอกสัตว์ บางคนหนักข้อเข้าไปอีกคิดว่าการใช้กลุ่มวัสดุปูนหรือปูนขาวนั้นสามารถที่จะ ฆ่าเชื้อได้ ซึ่งเหตุผลอย่างหลังนี้ค่อนข้างที่ห่างไกลความเป็นจริงไปมากพอสมควร เพราะยังไม่มีรายงานวิจัยใดๆในประเทศไทยว่ากลุ่มวัสดูปูนนั้นจะฆ่าเชื้อโรค ได้
ที่ เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากลุ่มวัสดุปูนที่มีองค์ประกอบหลักในกลุ่มของแคลเซียม จึงทำให้ความเป็นด่าง บริเวณที่เป็นด่างมากก็จะทำให้การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ทั้งชนิดดีและ ชนิดร้ายไม่สามารถจะจเริญเติบโตเป็นปรกติ พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือจุลินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิตไม่ชอบลักษณะของสภาพแวด ล้อมที่เป็นด่างหรือกรดจัด อ๊ะๆไม่ใช่เขียนอย่างนี้แล้วท่านจะรีบไปเติมปูนในแปลงเรือกสวนไร่นากันนะ ครับ เพื่อหวังให้เชื้อโรคหลบหนีไปจากพื้นที่ เพราะถ้าทำเชีนนั้นพืชของท่านก็จะมีปัญหาไปด้วย เพราะความเหมาะสมของดินต่อการเจริญเติบโตของพืชจะต้องอยู่ที่ 5.8-6.3 คือเป็นกรดอ่อนๆ
การใช้กลุ่มวัสดุปูนไม่ว่าจะเป็นปูนมาร์ล(Ca[Co3])2, ปูนเผา(Cao), ปูนขาว (Ca[OH]2),โดโลไมท์ (CaMg[Co3]2)2,ฟอสเฟต(CA3[PO4]) ซึ่งมีองค์ประกอบของความเป็นด่าง เมื่อนำไปหว่านในคอกสัตว์เล้าไก่ที่มีกลิ่นก๊าซแอมโมเนียที่สัมผัสกับความ ชื้นที่พื้นคอกแล้วกลายเป็นด่าง (แอมโมเนียรวมตัวกับน้ำแตกตัวเป็นแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์เท่ากับด่าง) จะยิ่งทำให้กลิ่นก๊าซของเสียจากแอมโมเนียไนไตรท์และก๊าซไข่เน่า (ไฮโดเย่นซัลไฟด์) ยิ่งกระจายลอยฟุ้งขึ้นมามากขึ้นไปอีกทำให้ สุกร ไก่ แกะ แพะ โค กระบือ เกิดอาการระคายเคืองทางระบบทางเดินหายใจทำให้สัตว์เหล่านี้อาจจะมีปัญหาตาย ก่อนจับหรือระหว่างเลี้ยงได้มาก
คุณ สมชาย แซ่เล้า เจ้าของฟาร์มไก่เนื้อ ตำบลกลอนโด อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี (โทร. 081-274-2863) เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เนื้อ 40,000 ตัว หลังจากเปลี่ยนการใช้ปูนที่ใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาเป็นหินแร่ภูเขาไฟดับ กลิ่น "ซีโอฟาร์ม" เพียงหว่านลงไปที่พื้นคอกในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1ตารางเมตร สามารถช่วยลดปัญหากลิ่นเหม็นไปได้นานกว่า 40วัน ไก่มีอาการดีขึ้นแบบผิดหูผิดตากินอาหารได้มากขึ้น เจริญเติบโตเร็ว อาการเครียด จิกตีกันจนหัวถลอกปอกเปิกไม่มี
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พืชขาดสารอาหารใบเหลืองต้นแคระแกร็น อาจขาดจุลธาตุ




การปลูกพืชในปัจจุบันมีข้อมูลจากแหล่งต่างๆเยอะแยะมากมายให้ศึกษาค้นคว้า จึงทำให้พื้นดินส่วนใหญ่มักจะมีเกษตรกรปลูกพืชต่างๆกันมิวายเว้น เนื่องด้วยมีนักวิทยาศาสตร์อยากทำอยากเรียนรู้อยากทดลอง ดินจึงมิได้มีการหยุดพัก แร่ธาตุและสารอาหารต่างๆในดินซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่ง ใช้แล้วสามารถจะหมดไปตามธรรมดา ยิ่งการทำอาชีพกสิกรรมของพี่น้องเกษตรกรไทยเราเพาะปลูกแบบโกงธรรมชาติโดยไม่ รู้ตัวยิ่งจะทำให้ดินเสื่อมโทรมรวดเร็วยิ่งขึ้น คือเพาะปลูกแล้วใส่ปุ๋ยให้อาหารลงไปไม่กี่สิบโล แต่เอาผลผลิตออกจากผืนนาผืนไร่เป็นตันๆ เกิดการขาดความสมดุลของแร่ธาตุสารอาหารหรือทรัพยากรธรรมชาติที่นำเข้าและเอา ออกต่างกันมาก โดยเฉพาะกลุ่มของจุลธาตุอย่างเหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โบรอน โมลิบดินั่ม นิเกิล ไทเทเนียม ฯลฯ. ซึ่งจะคาดหวังว่ายังคงมีอยู่ในดินมากมายนั้นคงจะเป็นเรื่องที่รับได้ยากใน สมัยนี้  คือยังคงมีบางคนคิดว่าการใส่ปุ๋ยลงไปในดินแต่เพียงปุ๋ยเชิงเดี่ยวเพียงอย่าง เดียว (46-0-0, 15-0-0,21-0-0) หรือแม้แต่เพียงปุ๋ยสูตรเสมอเพียงอย่างเดียว (15-15-15, 16-16-16, 20-20-20) แล้วไม่ต้องเติมจุลธาตุเลยก็หวังจะให้พืชเจริญเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ให้ผล ผลิตออกมาคราวละมากๆ นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะการที่พืชจะเจริญเติบและสมบูรณ์พร้อมต่อการให้ผลผลิตออกมาได้อย่างเต็ม เม็ดเต็มหน่วยนั้นไม่ใช้จะใช้เพียงธาตุหลัก ไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมเพียงอย่างเดียว จะต้องอาศัยธาตุรอง ธาตุเสริมและธาตุพิเศษอย่างซิลิสิค และไคโตซาน โดยเฉพาะในกรณีที่ปลูกเพื่อจำหน่าย เพื่อสร้างความสมบูรณ์พร้อมให้กับพืชอย่างเต็มที่  เกษตรกรที่มีปัญหาดินขาดแคลนความอุดมสมบูรณ์ปลูกพืชแล้วการเจริญเติบโตช้า หรือมีปัญหาดินเสื่อมโทรมปลูกพืชแคระแกร็นโตช้า ควรเติมหินแร่ภูเขาไฟปรับปรุงบำรุงดิน "พูมิชซัลเฟอร์" ที่พรั่งพร้อมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่สมบูรณ์พร้อมต่อการเจริญเติบโตของ พืชดังที่ได้กล่าวไว้ในย่อหน้าที่สอง ขาดแต่เพียงไนโตรเจน ถ้าใบ้ไปพร้อมกับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก หรือเศษตอซังฟางข้าวที่ไม่ได้เผาก็ช่วยให้เรางดการใช้ปุ๋ยเคมีลงไปได้มากต่อ มากหรือแทบจะไม่ต้องใช้เลยก็ได้ สำหรับพืชที่กำลังมีปัญหาเฉพาะหน้าในขณะนี้ต้องการเติมเต็มจุลธาตุและซิลิ ก้า (H4SiO4) อย่างทันทีทันใดให้พืชตอบสนองเขียวเร็วโตไว้ให้ใช้ "ซิลิโคเทรซ" และ "ไคโตซาน MT) ซึ่งเป็นผลิตที่ช่วยเติมเต็มธาตุเสริมและธาตุพิเศษได้ครยถ้วนและที่สำคัญไม่ แพงเพียง อย่าง 5 กรัมและ 5ซี.ซี. ใช้สองอย่างเท่ากับอย่างละ 1 บาทต่อปิ๊ป (20ลิตร)  

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ยุคข้าวเปลือกขายยาก ข้าวสารขายแพง


เมื่อราคาข้าวเปลือกลดลงเหลือตันละเจ็ดแปดพันบาท ถูกลงเยอะเลยหากเทียบจากราคาประกันที่ชาวนาเคยได้รับ ใครๆก็ว่าก็เห็นด้วยต้องลดต้นทุนการผลิต รัฐเลยขอร้องให้ร้านค้าลดราคาปุ๋ย ให้เจ้าของนาลดค่าเช่า รอดูอีก 2-3 เดือนว่าชาวนาจะยิ้มแย้มหรือร้องไห้กับเศรษฐกิจเช่นนี้ กับยุคข้าวราดแกงปลาดุก 1 ชิ้น มะเขือ 2 ลูกหั่น 8 ชิ้น น้ำแกงที่จืดชืดไร้รดชาดแต่ขายในราคาจานละ 35 บาทเท่าเดิม ข้าวสารกลับขอขึ้นราคาและมีทีท่าว่าจะให้นายทุนอีกต่างหาก ยุคนี้(2557)ข้าวเปลือกถูกข้าวสารแพงส่งเสริมนายทุนชัดๆ ไม่เรียกว่าระบบทุนนิยมแล้วจะให้เรียกว่าระบบอะไรครับ ยิ่งคนไหนเขนขาเยอะก็ยิ่งได้ใจมีแต่คนโอ๋ ติๆติงๆบ้างเถอะครับมิเช่นนั้นชาวนากระดูกสันหลังของชาติเขาจะแย้ตกงานไม่มีงานทำกัน
ผู้เขียนได้อ่านข้อความนี้จากโพสของเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งใน Google plus ระบายความในใจออกมา อ่านแล้วชั่งน่าสลดใจแทนชาวนาผู้ที่ได้สมยานามว่ากระดูกสันหลังของชาติ แต่ตอนนี้กระดูกสันหลังของชาติเริ่มผุพังดับสลายหายไป อีกไม่นานเราๆท่านๆทั้งหลายที่รับประทานข้าวก็จะต้องซื้อข้าวประเทศเพื่อนบ้านกินเป็นแน่ ทางรอดนะมีถ้าภาครัฐให้การส่งเสริมอย่างจริงๆจังๆ ไม่มีมองว่างานใคร ผลงานใคร แล้วใครได้ผลงานได้ขั้นได้ยศ ลดต้นทุนการผลิตนะใช่แล้วใครๆก็เห็นด้วย แล้ววิธีไหนละจะยั่งยืนถาวรเกิดผลสำเร็จได้จริง
ตรวจวัดpHก่อนปรับสภาพดินหรือก่อนหว่านปักดำกล้าด้วยหินภูเขาไฟอย่างพูมิชซัลเฟอร์ ก็อีกหนึ่งทางรอดที่จะช่วยชาวนาลดต้นทุนการผลิตได้อย่างยั่งยืนถาวร เพราะนอกจากpHของดินจะดีปลดปล่อยธาตุอาหารได้แล้ว ดินที่ตายก็เริ่มคลายตัวร่วนซุย รากข้าวก็ชอนไชหาอาหารได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีกรดหรือด่างของดินมาคอยล็อคไม่ให้ปลดปล่อยธาตุอาหารออกมา เมื่อต้นข้าวได้รับธาตุอาหารครบถ้วนอย่างเต็มที่ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้นข้าวงาม สวย จะให้ผลผลิตเยอะกว่าต้นข้าวที่แคระๆแกร็นๆ แม้บางครั้งหว่านหรือฉีดพ่นปุ๋ยฮอร์โมนลงไปก็ไม่มีผลถ้าดินของท่านไม่ดียังเป็นกรดหรือด่างอยู่
ผู้เขียนและชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ก็อีกองค์กรหนึ่งที่สนับสนุนผลักดันให้เกษตรกรช่วยตัวเอง หันมาลดต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หรือประมง เพียงแต่ท่านมีปัญหา มีคำถาม เราก็พร้อมให้คำตอบ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการผลิต การป้องกันรักษาโรคแมลงแบบปลอดสารพิษ ใช้แล้วปลอดภัยทั้งผู้ใช้ผู้บริโภค ติดต่อมาได้ที่เบอร์ 02-9861680-2 หรือผู้เขียน (081-3983128)
เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 21 สิงหาคม 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com