ปลูกใส่กระถางง่ายเหมาะ
กับคนเมือง
พื้นที่น้อยปลูกเล่นต้นสองต้นไมีคาดหวังอะไรมากแค่ใช้สอยในครัวเรือน
ทำก็ง่ายแค่นำดินปลูกที่ผสมยี่ห้ออะไรก็ได้ 5 ส่วน ปุ๋ยคอก 3 ส่วน
พูมิชซัลเฟอร์(ชนิดผง) 1 ส่วน คลุกเคล้าให้เข้ากัน เจาะหลุมลึกประมาณ 20
เซนติเมตร กว้างประมาณ 15-20 เซนติเมตร
จากนั้นก็นำต้นกล้าหรือกิ่งตอนลงปลูก กลบทับด้วยดินปลูกเบาๆ
คลุมด้วยฟางข้าวหรือเศษหญ้าแห้ง รดน้ำให้ชุ่ม
ส่วนพันธุ์นั้นพันธุ์อะไรก็ได้ขอให้ชอบเป็นพอ ยิ่งถ้าเปลือกบาง น้ำเยอะ
และมีกลิ่นหอมยิ่งดีคูณสอง ขอเสียของมะนาวในกระถางก็คืออายุไม่ยืนยาว 4-5
ปีรากก็จะเต็มกระถางเบียดเสียดกันแน่นได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอ
จากนั้นก็เฉา ใบเริ่มเหี่ยวสุกร่วง
ไม่ค่อยติดลูกแม้จะใส่ปุ๋ยต่อเนื่องหรือมากก็ตาม
ทางเดียวก็คือรื้อออกแล้วปลูกต้นใหม่
เรื่องหนอน
แมลงกัดกินช่วงใบอ่อนอย่าเพิ่งกลัว
มีบ้างแต่ควบคุมป้องกันได้ไม่ต้องกังวลจนเสียกาลเสียงานละครับ
ท่านอาจจะใช้ยาฉุน(ยาเส้น) 1 ซอง (5-6 บาท/ซอง) แช่น้ำ 1 ลิตร ทิ้งไว้ 2-3
ชั่วโมง กรองด้วยผ้าบางเอาแต่น้ำสีชามาผสมกับน้ำส้มสายชู 5 ซีซี.
กวนให้เข้ากันก่อนใส่ฟ๊อกเกอร์ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งบนใบใต้ใบชนิดชุ่มโชก ทุกๆ
5-7 วันครั้ง กลิ่นยาฉุนและน้ำส้มสายชูจะไปรบกวนหนอน แมลง ไม่ให้เข้าทำลาย
นอกจากนั้นน้ำส้มสายชูยังช่วยเร่งปฏิกิริยาให้ยาฉุนออกฤทธิ์ดียิ่งขึ้น
รับรองสูตรนี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้และสัตว์เลี้ยงอย่างแน่นอน
หากไม่มีเวลาก็หาซื้อสารสกัดใบยาสูบสำเร็จรูปมาแทนก็ได้
ส่วนแคงเกอร์หรือจุดสนิมตามใบก็ให้ฉีดพ่นด้วยพลายแก้ว ทุกๆ 7 วันครั้ง
มะนาวของท่านก็จะปราศจากแคงเกอร์
เนื่องจากพลายแก้วเป็นจุลินทรีย์ที่ควบคุมการระบาดของแคงเกอร์โดยตรง
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-9861680-2 หรือผู้เขียน
(081-3983128)
เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.comวันที่ 1 กันยายน 2557
เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com
|
บล็อกนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอผลงาน แนวทาง ทางเลือกใหม่ ในการทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ยึดหลักความรับผิดชอบต่อสังคมผสมผสานกับการพาณิชย์ กล่าวคือ ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำชี้ทางถูกผิด 30% ผสมผสานงานขาย 70% เพื่อความคงอยู่ขององค์กรหรือหน่วยงานต้นสังกัดกล่าวคือชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ปรัชญาประจำตัวคือ "ทุกแนวคิด ทุกคำตอบ ทุกงานวิชาการ เพื่อเกษตรกรไทย"สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:คุณเอกรินทร์ ช่วยชู โทร.081-3983128
วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557
มะนาวมาแรง ราคาดีไม่มีตก
วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลกำลังมา
โลกร้อนเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแมลง ยิ่งอุณหภูมิสูงยิ่งทำให้แมลงฟักตัวเร็ว
ทำให้เจริญเติบโตและแพร่พันธุ์รวดเร็ว
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลถือว่าเป็นแมลงศัตรูข้าวหมายเลขหนึ่งของชาวนา
ตัวอ่อน-ตัวเต็มวัยของเพลี้ยจะเข้าทำลายต้นข้าวโดยอาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงจาก
ท่ออาหารบริเวณโคนต้นเหนือระดับน้ำเล็กน้อย
ต้นข้าวที่ถูกทำลายใบจะเหลืองแห้งคล้ายถูกน้ำร้อนลวก
ถ้าระบาดมากใบจะเหลืองแห้งเป็นหย่อมๆทั่วแปลงนา
การทำลายของ
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงแก่ต้นข้าว
นอกจากนี้ยังเป็นพาหะนำโรคเขียวเตี้ยและโรคใบหงิกจากเชื้อไวรัสมาสู่ต้นข้าว
อีกด้วย
การอัดปุ๋ยเคมีเร่งการเจริญเติบโตโดย
เฉพาะปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงๆ
ยิ่งกระตุ้นให้ประชากรเพลี้ยเพิ่มปริมาณมากขึ้นและรวดเร็ว
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นแมลงที่สร้างความเสียหายให้แก่ชาวนาเป็นอันดับต้นๆ
โดยเฉพาะในที่นาภาคกลาง
เนื่องจากทำต่อเนื่องตลอดทั้งปีส่งผลให้เพลี้ยมีแหล่งอาหาร
สามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ตลอดทั้งปี
ปีใดระบาดมากปีนั้นผลผลิตข้าวจะเสียหายหนัก
ใช้เวลาแค่ชั่วข้ามคืนเท่านั้นเอง
ชีวภาพอย่าง
สมุนไพร จุลินทรีย์ก็ทางออกหนึ่งที่ช่วยควบคุมการระบาดของเพลี้ยได้
ยังช่วยลดสารเคมีอันตราย ลดต้นทุนการผลิต ป้องกันสารพิษตกค้าง
ดินก็ไม่เสื่อมระบบนิเวศน์ก็ไม่เสีย
แมลงตัวห้ำตัวเบียนก็ไม่ถูกทำลายอย่างทุกวันนี้ ท่านเคยสังเกตไหม
แมลงปอที่เคยบินโฉบไปโฉมมาตามท้องทุ่ง
หรือไม่ก็แมงมุมที่ชักใยตามใบข้าวกลางท้องนาหายไปไหน
ผู้เขียนกำลังจะบอกว่าที่มันหายก็เพราะท้องทุ่งท้องนามีแต่สารเคมี
สารพิษที่คอยทำลายชีวิตและห่วงโซ่อาหารของแมลงหรือแมงพวกนี้
ไม่อนุรักษ์ไว้เอาทำลายอย่างทุกวันนี้
วันข้างหน้าเราก็ไม่มีแมลงดีๆคอยพิทักษ์ท้องทุ่ง
คอยป้องกันแมลงศัตรูให้ข้าว
เมื่อผู้พิทักษ์น้อย
ลงแต่ศัตรูเท่าเดิมหรือมากกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาครับที่ต้องหาตัวช่วย
แต่ก็ต้องดู ต้องเลือก คิดนิดหนึ่งว่า
ช่วยส่งเสริมผลักดันหรือ(หนี้)ซ้ำเติม(ตาย)ผ่อนส่ง
ท่านคงเข้าใจเจตนาที่ผู้เขียนกล่าวนะครับ แต่ท่านจะเลือกอย่างไร สิ่งใด วิธีไหนสร้างหนี้เพิ่มหรือลดต้นทุนคืนสู่ธรรมชาติคืนบรรยากาศเก่าๆให้ท้องทุ่งท้อง
นา มันเป็นสิทธิ์ของท่าน ผู้เขียนห้ามหรือไปเปลี่ยนความคิดของท่านไม่ได้
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 081-3983128 (ผู้เขียน)
เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 29 สิงหาคม 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com
|
วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557
หนอนชอนใบมะนาว
|
มะนาว
เป็นพืชที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในขณะนี้
การป้องกันปัญหาที่จะเกิดกับมะนาวจึงเป็นที่สนใจอกสนใจอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะหนอนชอนใบที่มักจะเข้าทำลายช่วงมะนาวแตกใบอ่อนถึงแก่
ซึ่งการป้องกันก็ทำได้ยากลำบากเนื่งจากตัวเล็กเท่าเส้นด้าย
มุดซ่อนตัวตามผิวเปลือกใบ ฉีดพ่นยาสัมผัสตัวได้ยาก
เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนอนไม่ตาย
เป็นพวงให้หนอนเกิดการดื้อปราบเท่าไรก็ไม่หมดเสียที
หนอนชอนใบเกิดจากแม่ผีเสื้อกลางคืน
ซึ่งมักจะออกมาวางไข่บนใบมะนาวในเวลากลางคืนช่วงมะนาวแตกใบหรือเพสลาด(กลาง
แก่กลางอ่อน) เมื่อไข่ฟักตัวเป็นหนอนก็จะเริ่มชอนไชเข้าทำลายผิวเปลือกใบ
ทิ้งให้ดูต่างหน้าแค่รอยด่างขาวๆเป็นเส้นยาวต่อเชื่อมกันคล้ายแผนที่ลายแทง
การ
ใช้สารเคมีเข้ามาควบคุมป้องกันไม่ใช่ทางออกที่ดียั่งยืนถาวร
ในระยะยาวอาจทำให้สุขภาพผู้ใช้พลอยแย่ไปด้วย
มิหนำซ้ำมะนาวก็อายุสั้นทำให้สิ้นเปลืองปุ๋ยยาฟรีๆ
เนื่องจากระบบนิเวศน์ในแปลงทั้งดิน น้ำ อากาศ จุลินทรีย์
แมลงตัวห้ำตัวเบียนถูกทำลาย เมื่อความสมดุลของธรรมชาติเริ่มหายไป
บวกโรคแมลงศัตรูเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความต้องการใช้สารพิษในควบคุมก็มากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น
หนี้สินก็มากขึ้น มีสองอย่างที่ลดลงคือสุขภาพที่แย่ลงกับอายุที่เหลือน้อยลง
อีกทั้งยังพาให้ผู้บริโภคอายุลดน้อยลงด้วย
หนอน
ชอนใบป้องกันควบคุมได้โดยที่ไม่ต้องใช้สารเคมีเลย เพียงแค่นำกากกาแฟสด 1
กิโลกรัม แช่น้ำเปล่า 1 ลิตร นาน 2-3 ชั่วโมง
กรองด้วยผ้าบางเอากากกาแฟออกแล้วนำไปผสมน้ำเปล่าเพิ่ม 100 ลิตร
ฉีดพ่นไล่แม่ผีเสื้อมาวางไข่และเบรคการทำลายของหนอนได้
เพราะกลิ่นไหม้ของเม็ดกาแฟคั่วจะช่วยยับยั้งการกิน
สามารถหยุดการทำลายของแมลง หนอน เพลี้ยได้ดีที่หนึ่งเลยละครับ
ยิ่งฉีดพ่นร่วมกับบาซิลลัส
ธูริงเจนสิส(บีทีหรือสลับกับบิวเวอร์เรีย(ทริปโตฝาจ)
ยิ่งเสริมฤทธิ์ทำลายหนอนชอนใบเพิ่มยิ่งขึ้น โดยปกติบาซิลลัส
ธูริงเจนสิสและบิวเวอร์เรียพบในธรรมชาติทั่วไปอยู่แล้วไม่เป็นอันตรายต่อผู้
ใช้และสัตว์เลี้ยง
แต่เนื่องจากระบบนิเวศถูกทำลายเชื้อส่วนหนึ่งก็ถูกทำลายไปด้วย
จึงต้องฉีดพ่นเพิ่มปริมาณให้สามารถควบคุมการระบาดของแมลงหรือหนอนชอนใบได้
นอกจากนี้กลิ่นของกากกาแฟสดยังช่วยผ่อนคลายลดความตึงเคลียด
และยังให้บรรยากาศที่สดชื่นตลอดเวลาทำงานเลยละครับ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-9861680-2 หรือผู้เขียน (081-3983128)
เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู (นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 28 สิงหาคม 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email : thaigreenagro@gmail.com
|
วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ปูนขาวใช้จับก๊าซจับกลิ่นของเสียจากแอมโมเนียในเล้าไก่คอกหมูไม่ได้
มี
เกษตรกรหลายคนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการใช้กลุ่มวัสดุปูนที่นำมาใช้หว่าน
จับกลิ่นเหม็นและก๊าซของเสียในคอกสัตว์
บางคนหนักข้อเข้าไปอีกคิดว่าการใช้กลุ่มวัสดุปูนหรือปูนขาวนั้นสามารถที่จะ
ฆ่าเชื้อได้ ซึ่งเหตุผลอย่างหลังนี้ค่อนข้างที่ห่างไกลความเป็นจริงไปมากพอสมควร
เพราะยังไม่มีรายงานวิจัยใดๆในประเทศไทยว่ากลุ่มวัสดูปูนนั้นจะฆ่าเชื้อโรค ได้
ที่
เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากลุ่มวัสดุปูนที่มีองค์ประกอบหลักในกลุ่มของแคลเซียม
จึงทำให้ความเป็นด่าง
บริเวณที่เป็นด่างมากก็จะทำให้การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ทั้งชนิดดีและ
ชนิดร้ายไม่สามารถจะจเริญเติบโตเป็นปรกติ
พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือจุลินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิตไม่ชอบลักษณะของสภาพแวด
ล้อมที่เป็นด่างหรือกรดจัด
อ๊ะๆไม่ใช่เขียนอย่างนี้แล้วท่านจะรีบไปเติมปูนในแปลงเรือกสวนไร่นากันนะ ครับ
เพื่อหวังให้เชื้อโรคหลบหนีไปจากพื้นที่
เพราะถ้าทำเชีนนั้นพืชของท่านก็จะมีปัญหาไปด้วย
เพราะความเหมาะสมของดินต่อการเจริญเติบโตของพืชจะต้องอยู่ที่ 5.8-6.3 คือเป็นกรดอ่อนๆ
การใช้กลุ่มวัสดุปูนไม่ว่าจะเป็นปูนมาร์ล(Ca[Co3])2, ปูนเผา(Cao), ปูนขาว (Ca[OH]2),โดโลไมท์ (CaMg[Co3]2)2,ฟอสเฟต(CA3[PO4]) ซึ่งมีองค์ประกอบของความเป็นด่าง เมื่อนำไปหว่านในคอกสัตว์เล้าไก่ที่มีกลิ่นก๊าซแอมโมเนียที่สัมผัสกับความ
ชื้นที่พื้นคอกแล้วกลายเป็นด่าง (แอมโมเนียรวมตัวกับน้ำแตกตัวเป็นแอมโมเนียมไฮดรอกไซด์เท่ากับด่าง)
จะยิ่งทำให้กลิ่นก๊าซของเสียจากแอมโมเนียไนไตรท์และก๊าซไข่เน่า (ไฮโดเย่นซัลไฟด์)
ยิ่งกระจายลอยฟุ้งขึ้นมามากขึ้นไปอีกทำให้ สุกร ไก่ แกะ แพะ โค กระบือ เกิดอาการระคายเคืองทางระบบทางเดินหายใจทำให้สัตว์เหล่านี้อาจจะมีปัญหาตาย
ก่อนจับหรือระหว่างเลี้ยงได้มาก
คุณ สมชาย แซ่เล้า เจ้าของฟาร์มไก่เนื้อ
ตำบลกลอนโด อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี (โทร. 081-274-2863)
เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่เนื้อ 40,000 ตัว
หลังจากเปลี่ยนการใช้ปูนที่ใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาเป็นหินแร่ภูเขาไฟดับ กลิ่น
"ซีโอฟาร์ม" เพียงหว่านลงไปที่พื้นคอกในอัตรา 1
กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1ตารางเมตร
สามารถช่วยลดปัญหากลิ่นเหม็นไปได้นานกว่า 40วัน
ไก่มีอาการดีขึ้นแบบผิดหูผิดตากินอาหารได้มากขึ้น เจริญเติบโตเร็ว อาการเครียด
จิกตีกันจนหัวถลอกปอกเปิกไม่มี
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557
พืชขาดสารอาหารใบเหลืองต้นแคระแกร็น อาจขาดจุลธาตุ
การปลูกพืชในปัจจุบันมีข้อมูลจากแหล่งต่างๆเยอะแยะมากมายให้ศึกษาค้นคว้า จึงทำให้พื้นดินส่วนใหญ่มักจะมีเกษตรกรปลูกพืชต่างๆกันมิวายเว้น เนื่องด้วยมีนักวิทยาศาสตร์อยากทำอยากเรียนรู้อยากทดลอง ดินจึงมิได้มีการหยุดพัก แร่ธาตุและสารอาหารต่างๆในดินซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่ง ใช้แล้วสามารถจะหมดไปตามธรรมดา ยิ่งการทำอาชีพกสิกรรมของพี่น้องเกษตรกรไทยเราเพาะปลูกแบบโกงธรรมชาติโดยไม่ รู้ตัวยิ่งจะทำให้ดินเสื่อมโทรมรวดเร็วยิ่งขึ้น คือเพาะปลูกแล้วใส่ปุ๋ยให้อาหารลงไปไม่กี่สิบโล แต่เอาผลผลิตออกจากผืนนาผืนไร่เป็นตันๆ เกิดการขาดความสมดุลของแร่ธาตุสารอาหารหรือทรัพยากรธรรมชาติที่นำเข้าและเอา ออกต่างกันมาก โดยเฉพาะกลุ่มของจุลธาตุอย่างเหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โบรอน โมลิบดินั่ม นิเกิล ไทเทเนียม ฯลฯ. ซึ่งจะคาดหวังว่ายังคงมีอยู่ในดินมากมายนั้นคงจะเป็นเรื่องที่รับได้ยากใน สมัยนี้ คือยังคงมีบางคนคิดว่าการใส่ปุ๋ยลงไปในดินแต่เพียงปุ๋ยเชิงเดี่ยวเพียงอย่าง เดียว (46-0-0, 15-0-0,21-0-0) หรือแม้แต่เพียงปุ๋ยสูตรเสมอเพียงอย่างเดียว (15-15-15, 16-16-16, 20-20-20) แล้วไม่ต้องเติมจุลธาตุเลยก็หวังจะให้พืชเจริญเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ให้ผล ผลิตออกมาคราวละมากๆ นั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะการที่พืชจะเจริญเติบและสมบูรณ์พร้อมต่อการให้ผลผลิตออกมาได้อย่างเต็ม เม็ดเต็มหน่วยนั้นไม่ใช้จะใช้เพียงธาตุหลัก ไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมเพียงอย่างเดียว จะต้องอาศัยธาตุรอง ธาตุเสริมและธาตุพิเศษอย่างซิลิสิค และไคโตซาน โดยเฉพาะในกรณีที่ปลูกเพื่อจำหน่าย เพื่อสร้างความสมบูรณ์พร้อมให้กับพืชอย่างเต็มที่ เกษตรกรที่มีปัญหาดินขาดแคลนความอุดมสมบูรณ์ปลูกพืชแล้วการเจริญเติบโตช้า หรือมีปัญหาดินเสื่อมโทรมปลูกพืชแคระแกร็นโตช้า ควรเติมหินแร่ภูเขาไฟปรับปรุงบำรุงดิน "พูมิชซัลเฟอร์" ที่พรั่งพร้อมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่สมบูรณ์พร้อมต่อการเจริญเติบโตของ พืชดังที่ได้กล่าวไว้ในย่อหน้าที่สอง ขาดแต่เพียงไนโตรเจน ถ้าใบ้ไปพร้อมกับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก หรือเศษตอซังฟางข้าวที่ไม่ได้เผาก็ช่วยให้เรางดการใช้ปุ๋ยเคมีลงไปได้มากต่อ มากหรือแทบจะไม่ต้องใช้เลยก็ได้ สำหรับพืชที่กำลังมีปัญหาเฉพาะหน้าในขณะนี้ต้องการเติมเต็มจุลธาตุและซิลิ ก้า (H4SiO4) อย่างทันทีทันใดให้พืชตอบสนองเขียวเร็วโตไว้ให้ใช้ "ซิลิโคเทรซ" และ "ไคโตซาน MT) ซึ่งเป็นผลิตที่ช่วยเติมเต็มธาตุเสริมและธาตุพิเศษได้ครยถ้วนและที่สำคัญไม่ แพงเพียง อย่าง 5 กรัมและ 5ซี.ซี. ใช้สองอย่างเท่ากับอย่างละ 1 บาทต่อปิ๊ป (20ลิตร) มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com |
วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ยุคข้าวเปลือกขายยาก ข้าวสารขายแพง
เมื่อราคาข้าวเปลือกลดลงเหลือตันละเจ็ดแปดพันบาท
ถูกลงเยอะเลยหากเทียบจากราคาประกันที่ชาวนาเคยได้รับ
ใครๆก็ว่าก็เห็นด้วยต้องลดต้นทุนการผลิต รัฐเลยขอร้องให้ร้านค้าลดราคาปุ๋ย
ให้เจ้าของนาลดค่าเช่า รอดูอีก 2-3
เดือนว่าชาวนาจะยิ้มแย้มหรือร้องไห้กับเศรษฐกิจเช่นนี้ กับยุคข้าวราดแกงปลาดุก 1 ชิ้น มะเขือ 2 ลูกหั่น 8 ชิ้น
น้ำแกงที่จืดชืดไร้รดชาดแต่ขายในราคาจานละ 35 บาทเท่าเดิม
ข้าวสารกลับขอขึ้นราคาและมีทีท่าว่าจะให้นายทุนอีกต่างหาก ยุคนี้(2557)ข้าวเปลือกถูกข้าวสารแพงส่งเสริมนายทุนชัดๆ
ไม่เรียกว่าระบบทุนนิยมแล้วจะให้เรียกว่าระบบอะไรครับ
ยิ่งคนไหนเขนขาเยอะก็ยิ่งได้ใจมีแต่คนโอ๋
ติๆติงๆบ้างเถอะครับมิเช่นนั้นชาวนากระดูกสันหลังของชาติเขาจะแย้ตกงานไม่มีงานทำกัน
|
ผู้เขียนได้อ่านข้อความนี้จากโพสของเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งใน
Google
plus ระบายความในใจออกมา
อ่านแล้วชั่งน่าสลดใจแทนชาวนาผู้ที่ได้สมยานามว่ากระดูกสันหลังของชาติ
แต่ตอนนี้กระดูกสันหลังของชาติเริ่มผุพังดับสลายหายไป
อีกไม่นานเราๆท่านๆทั้งหลายที่รับประทานข้าวก็จะต้องซื้อข้าวประเทศเพื่อนบ้านกินเป็นแน่
ทางรอดนะมีถ้าภาครัฐให้การส่งเสริมอย่างจริงๆจังๆ ไม่มีมองว่างานใคร ผลงานใคร
แล้วใครได้ผลงานได้ขั้นได้ยศ ลดต้นทุนการผลิตนะใช่แล้วใครๆก็เห็นด้วย
แล้ววิธีไหนละจะยั่งยืนถาวรเกิดผลสำเร็จได้จริง
ตรวจวัดpHก่อนปรับสภาพดินหรือก่อนหว่านปักดำกล้าด้วยหินภูเขาไฟอย่างพูมิชซัลเฟอร์
ก็อีกหนึ่งทางรอดที่จะช่วยชาวนาลดต้นทุนการผลิตได้อย่างยั่งยืนถาวร เพราะนอกจากpHของดินจะดีปลดปล่อยธาตุอาหารได้แล้ว ดินที่ตายก็เริ่มคลายตัวร่วนซุย
รากข้าวก็ชอนไชหาอาหารได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีกรดหรือด่างของดินมาคอยล็อคไม่ให้ปลดปล่อยธาตุอาหารออกมา
เมื่อต้นข้าวได้รับธาตุอาหารครบถ้วนอย่างเต็มที่ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้นข้าวงาม
สวย จะให้ผลผลิตเยอะกว่าต้นข้าวที่แคระๆแกร็นๆ
แม้บางครั้งหว่านหรือฉีดพ่นปุ๋ยฮอร์โมนลงไปก็ไม่มีผลถ้าดินของท่านไม่ดียังเป็นกรดหรือด่างอยู่
ผู้เขียนและชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
ก็อีกองค์กรหนึ่งที่สนับสนุนผลักดันให้เกษตรกรช่วยตัวเอง หันมาลดต้นทุนการผลิต
ไม่ว่าจะปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หรือประมง เพียงแต่ท่านมีปัญหา มีคำถาม
เราก็พร้อมให้คำตอบ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการผลิต
การป้องกันรักษาโรคแมลงแบบปลอดสารพิษ ใช้แล้วปลอดภัยทั้งผู้ใช้ผู้บริโภค
ติดต่อมาได้ที่เบอร์ 02-9861680-2 หรือผู้เขียน (081-3983128)
เขียนและรายงานโดย : คุณเอกรินทร์ ช่วยชู
(นักวิชาการชมรมฯ)
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
วันที่ 21
สิงหาคม 2557 เสนอแนะติชมได้ที่ email :
thaigreenagro@gmail.com
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)