การทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่เตรียมแปลง เพาะเมล็ด
ปลูกลงดิน รอวันเวลาโรคแมลงเข้ารบกวน ฉีดพ่นยาสารเคมีป้องกัน และเก็บเกี่ยวผลผลิต
วงจรหรือ วัฎจักรแบบนี้จะดีในระยะแรกๆ สั้นๆ แต่นานๆไป อาหารในดินก็จะหมด
พืชก็อ่อนแอ ไม่พ้นที่จะต้องพึ่งพาแต่ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วล้วนแต่มีสิ่งที่เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศน์ ผู้เพาะปลูก
ผู้ฉีดพ่น และผู้บริโภค
เพราะสารพิษในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีพิษฤทธิ์แรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆเป็นลำดับ
เนื่องด้วยโรค แมลงศัตรูพืชก็จะมีพัฒนาการในการป้องกันตนองพัฒนาไปสู่การดื้อยา
ยาชนิดเดิม ยี่ห้อเดิม ไม่สามารถใช้ได้ผลในแปลงพืชไร่ไม้ผลเดิมๆ
|
แต่การ
เพาะปลูกหรือการทำเกษตรกรรมด้วยการสังเกตจดจำจะช่วยในเรื่องของการลดต้นทุน
เพิ่มผลผลิต
เพราะจะมีการปรับปรุงแก้ไขสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้สอดคล้องสมดุลกับการดูด
กินแร่ธาตุสารอาหารของพืชอยู่ตลอดเวลา
เรามีการนำผลผลิต
ซึ่งหมายถึงแร่ธาตุสารอาหารที่พืชดูดจากดินออกไปจำนวนมากหรือมหาศาลเมื่อ
เทียบกับจำนวนปีหลายสิบปีที่ผ่านการเพาะปลูกกันมาบนพื้นดินนั้นๆ
แต่เรากลับที่จะละเลย อินทรียวัตถุ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ที่อาศัยอยู่ในดินหรือในระบบนิเวศน์ เช่น ไส้เดือน แมงมุม จุลินทรีย์
แอคติโนมัยสิต และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ที่คอยเกื้อหนุนจุนเจือให้พืชมีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์แข็งแรง
ทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ดินยังคงความอุดมสมบูรณ์ทำให้การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุกระทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก
นั่นก็คือการนำหินแร่ภูเขาไฟมาใส่มาเติมเสริมธาตุอาหารในราคาที่ไม่แพงมากนักลงไปในดิน
ซึ่งหินแร่ภูเขาไฟ (พูมิชซัลเฟอร์ PumishSulpher) นั้นประกอบด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆ มากมายทั้งฟอสฟอรัส โพแทสเซียม
แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โบรอน โมลิบดินั่ม
นิกเกิล ฯลฯ ที่จะค่อยทำให้ดินที่ผ่านการปลูกพืชอยู่ตลอดเวลา
ไม่ขาดแคลนสารอาหารที่จำเป็นต่อพืชออกไปจนหมด
อีกทั้งนอกเหนือจากแร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นแล้ว หินแร่ภูเขาไฟ
โดยเฉพาะพูมิชซัลเฟอร์นี้จะมี
แร่ธาตุซิลิก้าที่ละลายน้ำได้ออกมาเป็นประโยชน์ให้พืช
เพื่อช่วยทำให้ผนังเซลล์แข็งแกร่ง ต้านทานต่อโรค แมลง เพลี้ย หนอน รา ไร
ได้เป็นอย่างมาก เพราะหินแร่ภูเขาไฟนั้นผ่านความร้อนภายใต้ชั้นเปลือกโลกมากถึง
980-1,200 องศาเซลเซียส
เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายถ่ายเทระเบิดออกมาสู่ชั้นบรรยากาศที่บางเบา เพียง1
ชั้นบรรยากาศโลก จึงเกิดการบวมพองเดือดพล่าน เป็นหินชั้น หินลาวา ก๊าซ และไอน้ำ
จึงเป็นหินที่สุกแล้ว เดือดแล้ว พร้อมต่อการย่อยสลาย ปลดปล่อยแร่ธาตุต่างๆ
ออกมาสู่พืช จึงสามารถที่จะช่วยให้พืชแข็งแกร่ง แข็งแรงตั้งแต่เริ่มต้นปลูก
เมื่อมีการระบาดของโรคแมลงก็สามารถที่จะดูแลแก้ไขได้ง่ายกว่าต้นที่ไม่ได้รับซิลิก้าหรือแร่ธาตุสารอาหารจึงมีความอ่อนแอมากกว่า
ดูแลรักษายากกว่า
คุณมนตรี
บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
|
บล็อกนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอผลงาน แนวทาง ทางเลือกใหม่ ในการทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ยึดหลักความรับผิดชอบต่อสังคมผสมผสานกับการพาณิชย์ กล่าวคือ ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำชี้ทางถูกผิด 30% ผสมผสานงานขาย 70% เพื่อความคงอยู่ขององค์กรหรือหน่วยงานต้นสังกัดกล่าวคือชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ปรัชญาประจำตัวคือ "ทุกแนวคิด ทุกคำตอบ ทุกงานวิชาการ เพื่อเกษตรกรไทย"สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:คุณเอกรินทร์ ช่วยชู โทร.081-3983128
วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556
แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ใช่เจตจำนงของความเป็นเกษตรยั่งยืน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น