ถ้าพูด
ถึงพืชเศรษฐกิจที่บ่งชี้สถานะประชาชนคนรากหญ้าว่าจะมีปฏิกิริยาที่พึงพอใจ
หรือหงุดหงิดเกี่ยวกับราคาที่เพิ่มสูงขึ้นยามขาดแคลนหรือตามที่นัก
เศรษฐศาสตร์เขาชอบพูดกันว่าซัพพลาย
(Supply)
น้อยกว่าดีมานด์ (demand) สรุปง่าย
ให้เข้าใจไม่สับสนก็คือความต้องการขายมีไม่เพียงพอต่อความต้องการซื้อนั่น
เอง
ยิ่งในยุคข้าวยากหมากแพง ยุครัฐบาลไร้สเถียรภาพ รัฐบาลรักษาการณ์
รัฐบาลผีหัวขาดหรือมาถึงยุค คสช. เจ้าสิ่งที่ผมจะพูดถึงนี่ก็คือ "มะนาว"
นั่นเองครับ เพราะตั้งแต่เดือนมีนา-เมษาโน่นมาทีเดียวที่มะนาวมีราคาแพง
และสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยที่ส่วนใหญ่จะชอบรับประทาน
อาหารที่มีรสจัด
เช่นต้มยำ ตำบักหุ่ง ตำมะยม ตำถั่ว
ตำซั่วและอีกหลายๆชนิดของอาหารที่ต้องมีการตำล้วนจะต้องมีมะนาวเป็นปัจจัย
หลักมิฉะนั้นก็จะทำให้อาหารจานนั้นขาดอรรถรสไปอย่างมากทีเดียว
|
ด้วยเหตุฉะนี้จึงต้องย้อนกลับไปดูว่าทำไมมะนาวจึงต้องมีราคาแพง
และโดยเฉพาะหน้าแล้งนั้นถือว่าแพงมากขึ้นทุกปีๆทีเดียว ล่าสุดที่อำเภอเบตง
จังหวัดยะลา ก็มีราคาประชาสัมพันธ์ผ่านทีวีมาให้ได้ยินได้ฟังกันสูงถึงลูกละ 16 บาท
(อืห์ม?!?!
มีพืชอะไรบ้างน๊า! ที่ให้ดอกออกผลดก แถมขายเป็นลูก ไม่ใช่ทีละกิโลเหมือนเงาะ
ลองกอง ลำไย น่าจะทำกำไรดีไม่น้อยถ้าทำให้ออกในช่วงหน้าแล้งได้)
ถ้าวิเคราะห์กันให้ดีๆแล้วมะนาวก็จัดเป็นพืชที่มีดอกและผลหลายรุ่นในต้นเดียวกัน
จึงทำให้ดูคล้ายดังกับว่ามะนาวนั้นให้ดอกออกผลตลอดทั้งปีทีเดียวเชียวล่ะครับ
แต่จริงๆแล้วนั้นมะนาวเขาจะออกดอกติดผลปีละประมาณสองรอบ
คือในช่วงแรกมะนาวจะออกดอกในเดือนมีนาคมและเมษายน
และให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ในเดือนสิงหาคม-กันยายน
ในระหว่างที่พี่น้องเกษตรกรกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตตามฤดูกาลเพลินๆ
อยู่นี้
มะนาวเขาก็จะมีดอกรุ่นที่สองในห้วงช่วงเดือน
กรกฎาคม-สิงหาคมออกมาอีกชุดหนึ่งและชุดนี้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในห้วงช่วง
เดือนธันวาคม-มกราคม
หลังจากนั้นก็จะมีดอกที่ออกชุดสุดท้ายออกมาอีกรุ่นหนึ่งในช่วงเดือนธันวาคม
ซึ่งจะให้ผลผลิตในช่วงต้นฤดูฝน
เห็นมั๊ยละครับท่านผู้อ่านว่ามะนาวไม่ยอมให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้เลยนะ
ครับในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
(ฤดูแล้ง) จึงทำให้ราคาของมะนาวในช่วงนี้มีราคาแพงนั่นเอง
เมื่อทราบว่ามะนาวหลังเกิดดอกแล้วนับออกไปอีกหกเดือนก็จะให้ผลผลิตออกมาเก็บเกี่ยวนำไปจำหน่ายได้
จึงมีเซียนมะนาวใช้วิธีการบังคับ ทรมาน
ด้วยรูปแบบและวิธีการต่างๆให้มะนาวนั้นติดดอกออกผลในช่วงที่ต้องการ
ทั้งการควั่นกิ่ง ลมควัน อั้นน้ำ (งดการให้น้ำ) ใช้สารเคมียับยั้งการแตกใบอ่อน
ทำลายน้ำย่อยไนโตรเจนไม่ไปเลี้ยงใบ ปลูกในวงซิเมนต์ ปิดฝาด้านล่าง
(ทำให้ต้องเปลืองต้นทุนสูงในการเติมปุ๋ย
เพราะกลัวว่าผืนแผ่นดินไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์ เพียงทานเงาะแล้วบ้วนเม็ดทิ้งก็งอกได้
จะนำความสมบูรณ์มาสู่ต้นมะนาวมากเกินไปแล้วจะมีแต่ใบอ่อน ไม่เกิดดอก )
จำจึงต้องพรากรากมะนาวออกจากดินไปตลอดกาล สุดท้ายขายได้กำไรน้อย อายุสั้น
เพราะใช้ปัจจัยการผลิตด้วยการซื้อทั้งหมด
การปลูกมะนาวด้วยวิธีทรมาน
ด้วยวิธีการใช้สารเคมี ด้วยวิธีการไม่พึ่งพาทรัพยากรจากแผ่นดินไทย
สารเคมีที่ตกค้างสะสมในดิน น้ำ และลำต้นของมะนาว
ต้นที่ถูกทรมานจะทรุดโทรมจากวิธีการที่ทำให้เครียด
ยาวนานเข้าจึงทำให้ต้นมะนาวเสื่อมโทรม อายุสั้น ใบหงิกงอ ไม่สมบูรณ์
แตกยอดชุดใหม่ก็ยังจะหงิกงออยู่จากสารที่ใช้ในการยับยั้งใบอ่อน
อายุจะอยู่กับพี่น้องเกษตรกรได้ไม่ยั่งยืนยาวนาน อายุอานามก็จะอยู่ได้เพียง 5-6 ปี
ยิ่งปลูกในวงซิเมนต์ยิ่งไปเร็วใหญ่
แล้วถ้ามีวิธีที่ปลอดภัยไร้สารพิษล่ะ
จะมีพี่น้องเกษตรกรท่านใดสนใจกันหรือไม่ ถ้าสนใจก็จะขออนุญาตเล่าต่อไปแล้วกัน
จากเหตุผลหรือสมมุติฐานที่รากพืชหลายชนิดที่จุ่มแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลาแต่ยังให้ดอกออกผลได้จากสัดส่วนของ
ซี เอ็น เรโช (C : N Ratio) ที่
มีสัดส่วนกว้างหรือห่างกันนั่นเองครับ
จึงนำเทคนิคเหล่านี้มาใส่ไข่ขยายความให้เกิดการปลูกมะนาวตามแบบธรรมชาติและ
สามารถทำให้ออกดอกติดผลนอกฤดูกาลได้โดยวิธีการที่ไม่ทรมานจากการทำให้
ซีเอ็นเรโชเขากว้างหรือห่างขึ้นนั่นเอง
โดยปรกติถ้าพืชหรือมะนาวมีค่าซีเอ็นเรโชแคบ
คือมีค่าไนโตรเจนสูงมากกว่าคาร์บอนก็จะทำให้พืชพัฒนาเป็นใบอ่อน
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามทำให้พืชมีการสะสมคาร์บอนให้สูงกว่าไนโตรเจน
เมื่อนั้นพืชก็จะพัฒนามาเป็นตาดอกได้
เงื่อนไขหลักที่สำคัญนี่เองเป็นเหตุผลที่จะทำให้มะนาวออกดอกและติดผลในห้วงช่วงที่เราต้องการได้นั่นเอง
ทีนีก็ต้องไปดูกันล่ะครับว่าไนโตรเจนนั้นมีอยู่ที่ใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นมูลสัตว์
อากาศ น้ำฝน ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0, ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต
21-0-0และแคลเซียมไนเตรท15-0-0
ล้วนแต่เป็นตัวที่ทำให้มะนาวนั้นเสี่ยงต่อการแตกใบอ่อนทั้งสิ้น
ส่วนคาร์บอนนั้นเราจะได้จาก น้ำตาลทราย (sucrose), กลูโคส(dextrose)
มีอยู่ในเครื่องดื่มชูกำลัง ในอดีตที่เครื่องดื่มชูกำลัง
ยอดขายยังไม่ค่อยดีก็จะมีข่าวลือให้ชาวบ้านใช้เครื่องดื่มชูกำลังสองฝาใส่น้ำ
20ลิตรฉีดพ่นก็จะทำให้เกิดดอกติดผลได้สมใจ ฮอร์โมนไข่ (ไข่ไก่ 5 ก.ก. กากน้ำตาล 5
ก.ก. ลูกแป้งข้าวหมาก1ลูก
ยาคูลท์หรือบีทาเก้นท์ 1ขวด)
ตัวนี้ถือเป็นพระเอกที่ให้แหล่งพลังงานคาร์บอนตัวสำคัญทีเดียวเชียวล่ะครับ
ในห้วง
ช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายนหลังจากตัดแต่งกิ่งบำรุงต้นจนสมบูรณ์เต็มที่
เทคนิคที่สำคัญคือจะต้องปล่อยให้มะนาวว่างทั้งดอกและผลในระหว่างนี้
หลังจากนั้นจึงรีบทำการสะสมคาร์บอนด้วยการฉีดพ่นฮอร์โมนไข่แหล่งพลังงาน
คาร์บอนที่สำคัญแต่ราคาประหยัดเพราะผลิตได้เองไม่ต้องซื้อนี้เข้าไปเพื่อ
เพิ่มคาร์บอนให้แก่มะนาว
และขจัดไนโตรเจนที่อยู่รอบโคนต้นหรือใต้ทรงพุ่มด้วยเก็บกวาดเศษไม้ใบหญ้า
ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกและที่สำคัญจะต้องงดการใช้ปุ๋ยที่มีตัวหน้าสูงทุกชนิด
ระหว่างนี้
ถ้าเป็นดินดำน้ำชุ่มมีการสะสมอาหารและไนโตรเจนไว้เยอะ
ก็ควรจะต้องใส่หินแร่ภูเขาไฟ
(Pumice)
ที่มีความพรุนหรือค่าซีอีซี (Cation Exchange Capacity) ช่วยในการจับตึงไนโตรเจนไม่ให้รากมะนาวดูดกินแร่ธาตุไนโตรเจนมากเกินไป
ถ้ามีปัญหาไนโตรเจนท่ีมาทางอากาศ
(ปรากฎการณ์ฟ้าร้องฟ้าผ่า (Ammonification). มีประจุของไนโตรเจนปนเปื้อนมาด้วย
น้ำฝนจึงทำให้กระถิน ชะอมริมรั้วแตกช่อชูใบ
หญ้าริมทางกลางท้องทุ่งเขียวขจีได้ด้วยก็เหตุนี้)
จึงต้องฉีดพ่นระงับยับยั้งใบอ่อนด้วยน้ำตาลทรายหรือกลูโคสและมะพร้าวอ่อนทางใบ
ระยะห่างความถี่ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ฝนตกลงมา
เพราะว่าทุกครั้งที่ฝนตกจะมีไนโตรเจนมาด้วยเสมอ
ในกรณีที่ใบอ่อนเกิดขึ้นเยอะ (ทำให้ไนโตรเจนสูงกว่าคาร์บอน
ซีเอ็นเรโชแคบ)
อาจจะเติมแร่ธาตุที่สะสมแป้งและน้ำตาลเพิ่มเข้าไปด้วยอย่าง
โมโนโพแทสเซียมฟอสเฟต
(0-52-34)และโพแทสเซียมซัลเฟต
(0-0-50)ก็จะช่วยยับยั้งไนโตรเจนทางใบได้ชะงัดดีนักแล
ด้วยหลักการคร่าวๆเพียงเท่านี้ตามความจำกัดจำเขี่ยของหน้ากระดาษก็สามารถที่
จะช่วยให้ท่านผู้อ่านและพี่น้องเกษตรกรสามารถที่จะปลูกมะนาวในรูปแบบที่
ปลอดภัยไร้สารพิษแถมยังพิชิตต้นทุนเกื้อหนุนให้ติดดอกออกผลเก็บเกี่ยวได้ใน
ห้วงช่วงฤดูแล้งได้ไม่ยากนะครับ อ้อ!
เกือบลืมไปถ้าอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการปลูกมะนาวปลอดสารพิษไม่ใช้ยาฆ่า
แมลงสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือสารแปลกปลอมที่ทรมานต้นไม้ตั้งแต่ต้นจนจบอย่าง
ละเอียดก็โทรศัพท์มาคุยกันได้นะครับที่
0-2986-1680-2 หรือ www.thaigreenagro.com
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
|
บล็อกนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอผลงาน แนวทาง ทางเลือกใหม่ ในการทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ยึดหลักความรับผิดชอบต่อสังคมผสมผสานกับการพาณิชย์ กล่าวคือ ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำชี้ทางถูกผิด 30% ผสมผสานงานขาย 70% เพื่อความคงอยู่ขององค์กรหรือหน่วยงานต้นสังกัดกล่าวคือชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ปรัชญาประจำตัวคือ "ทุกแนวคิด ทุกคำตอบ ทุกงานวิชาการ เพื่อเกษตรกรไทย"สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:คุณเอกรินทร์ ช่วยชู โทร.081-3983128
วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ความแตกต่างระหว่างปลูกมะนาวแบบทรมานกับการผสมผสานจัดการซีเอ็นเรโชให้เหมาะสมกลมกลืนกับธรรมชาติปราศจากสารพิษติดผลนอกฤดู
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น