จากการที่ประเทศไทยเราต้องการที่จะเป็นผู้นำด้านปศุสัตว์ในอาเซียน
เนื่องด้วยความสามารถทางด้านการส่งออกเกี่ยวกับปศุสัตว์นั้นสร้างรายได้ให้แก่ประเทศของเราสูงถึงปีละ
200,000 ล้านบาท มีศักยภาพในการผลิตสุกรปีละ 16 ล้านตัน
กุ้งปีละ 300,000 ตัน, ไก่ 20 ล้านตัว, สุนัข 7ล้านตัว, แมว 1
ล้านตัว
โดยเฉพาะไก่และกุ้งนั้นต้องถือว่าเป็นพระเอกหรือเป็นผู้นำที่โดดเด่นอยู่ตลอดเวลาในเรื่องของการส่งออก
อย่างไร
ก็ตามการที่จะเป็นผู้นำอาเซียนได้นั้น
จะต้องเน้นที่ภาคส่วนระดับปฏิบัติงานให้มีรูปแบบการทำงานที่มีคุณภาพและเน้น
พันธุ์สัตว์ที่มีศักยภาพควบคู่ไปด้วย
ไม่เว้นแต่เบื้องหลังการทำให้สัตว์เจริญเติบโตอย่างอาหารสัตว์ที่ใช้ภายใน
ประเทศหรือการส่งออกจะต้องเน้นวัตถุดิบที่นำมาผลิตจะต้องปลอดภัยไร้สารพิษ
ต้นทุนต่ำมีราคาไม่สูงหรือขูดรีดเกษตรกรผู้เลี้ยงมากจนเกินไป
|
โดยเราลองไปดูวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์กันดู
นั่นก็คือถั่วเหลือง
ซึ่งปัจจุบันนั้นผู้ผลิตรายใหญ่ในกลุ่มอาเซียนของเราก็คือประเทศกัมพูชา
ถือว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในเรื่องของการส่งออกถั่วเหลืองอยู่ในขณะนี้
เนื่องด้วยรัฐบาลของกัมพูชามีการรณรงค์ให้เกษตรกรผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งพื้นที่ที่ปลูกกันมากอยู่ในพื้นที่แขวงกำปงจาม
พระตะบองและกำปงธม การผลิตส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมแบบชาวบ้าน
ใช้บริโภคกันเองภายในประเทศเพียง 20%
และส่งออกสูงถึง 80%
ซึ่งผู้ซื้อก็ใช่ใครที่ไหนอื่นไกลเป็นประเทศไทยและเวียดนามนี่เอง
โดยเกรดพรีเมี่ยมชั่นหนึ่งจะสางไปเวียดนามเสียเป็นส่วนใหญ่ในราคา 600-800 เหรียญสหรัฐต่อตันหรือประมาณ 18,000 -24,000
บาทต่อตัน
ส่วนเกรดรองลงมาส่วนใหญ่จะถูกนำเข้ามาในไทยซึ่งนำไปใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ในราคาตันละ
550 เหรียญสหรัฐ 16,500 บาท
ที่นำราคามาแจ้งให้ประชาชนคนทั่วไปได้ทราบก็เพื่อที่จะได้พิจารณาว่าอาหาร
สัตว์ยี่ห้อใดมีราคาที่สูงเกินไปจะได้เลือกซื้อกันได้ตามความพึงพอใจ
เศรษฐกิจ
และการเมืองทำให้เสฐียรภาพของรัฐบาลในการบริหารประเทศทำงานได้ไม่เต็มที่
ส่งผลทำให้ราคาพืชไร่ไม้ผลหลากหลายชนิดตกต่ำลง
ดังนั้นสิ่งที่อยากให้พี่น้องเกษตรกรควรจะเฝ้าสังเกตและศึกษาเพื่อพัฒนาเป็น
อาชีพเสริมแต่อย่าหักโหมเลี้ยงกันจนล้นตลาดเดี๋ยวจะทำให้เจ๊งกันอีกแบบเดียว
กับหลายๆครั้งที่ผ่านมา
สถานการณ์ด้านตลาดของไก่ในช่วงนี้ถือว่าสดใสเป็นอย่างมาก
นับตั้งแต่ญี่ปุ่นยกเลิกการแบนนำเข้าไก่สดจากประเทศไทยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
อีกทั้งการกระตุ้นตลาดของกรมการค้าต่างประเทศที่จับมือกับกรมปศุสัตว์ไปจีบ
เกาหลีใต้
ฮ่องกง และล่าสุดฟิลิปปินส์
ตลาดหลักอย่างยุโรปก็มีแนวโน้มว่าจะสั่งซื้อไก่จากประเทศเรามากขึ้น
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าส่งออกไก่ทั่วโลก
ในห้วงช่วงหนึ่งถึงสามปีข้างหน้าอยู่ที่ 500,000 ตัน
โดยมี ไก่สด 300,000 ตัน, ไก่แปรรูป 200,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 7-8
หมื่นล้านบาทในอดีตไทยเราเคยส่งไก่สดไปญี่ปุ่นกว่า 200,000
ตัน แต่เกิดวิกฤติไข้หวัดนก จึงหันไปนำเข้าจากบราซิลแทน
ประเทศไทยเรานั้นถือเป็นผู้ส่งออกไก่เนื้อเป็นอันดับ 4
ของโลก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2552-2556) รองจากบราซิล, สหรัฐอเมริกา, และสหภาพยุโรป
และแนวโน้มการส่งเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ของไทยเพิ่มมากขึ้น เฉลี่ยราว 9%
ต่อปี
จากข้อมูลดังกล่าวนี้น่าจะพอเป็นแนวทางให้เกษตรกรที่สนใจและมีพื้นฐานการ
เลี้ยงสัตว์ที่ดีนำไปใช้ในการนำไปประกอบการตัดสินใจในการหาอาชีพเสริมทดแทน
รายได้หลักที่หดหายไปได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
|
บล็อกนี้เขียนขึ้นเพื่อเสนอผลงาน แนวทาง ทางเลือกใหม่ ในการทำการเกษตรแบบปลอดสารพิษ ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ยึดหลักความรับผิดชอบต่อสังคมผสมผสานกับการพาณิชย์ กล่าวคือ ช่วยเหลือให้คำปรึกษา แนะนำชี้ทางถูกผิด 30% ผสมผสานงานขาย 70% เพื่อความคงอยู่ขององค์กรหรือหน่วยงานต้นสังกัดกล่าวคือชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ปรัชญาประจำตัวคือ "ทุกแนวคิด ทุกคำตอบ ทุกงานวิชาการ เพื่อเกษตรกรไทย"สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:คุณเอกรินทร์ ช่วยชู โทร.081-3983128
วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
สถานการณ์ตลาดสัตว์ปีกของไทยในภาวะการเมืองล้มเหลว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น