วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มาช่วยกันพัฒนาการเกษตรและข้าวไทยให้ปลอดภัยไร้สารพิษกันเถอะครับ


         

ถ้าจะพูดถึงสถานการณ์ข้าวในขณะนี้ คาดว่าอารมณ์ความรู้สึกของพี่น้องชาวนาชาวไร่คงจะเริ่มมีความรู้สึกที่แตก ต่างจากห้วงช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เนื่องด้วยว่าทาง คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ได้นำเงินส่วนที่เหลือจากการค้างจ่ายให้ชาวนาอีก 92,000 ล้านบาทนั้นออกมาทยอยจ่ายให้เรียบร้อยแล้วและคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือน มิถุนายนนี้อย่างแน่นอน ขยายความให้เห็นชัดเจนขึ้นก็คือในเดือนกรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป เงินจำนวนนี้จะช่วยทำให้ไพร่ฟ้าหน้าใสขึ้นมาได้บ้างไม่มากก็น้อย โดยจะมีเงินไปจ่ายค่าเทอม ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าน้ำ ค่าไฟและดอกเบี้ยให้พอได้มีชีวิตที่ลื่นไหลไปตามอัตภาพ

ชาวไร่ชาวนาหรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรโดยเฉพาะเรื่องข้าว ถ้ามองออกไปนอกรั้วนอกบ้านของเรา จะเห็นว่าความต้องการข้าวของทั้งโลก ยังคงมีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องด้วยประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นกอรปกับความต้องการสต๊อคข้าวขององค์การ เกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่ต้องการสำรองข้าวให้เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าไปดูปริมาณผลผลิตข้าวโลกที่ทาง FAO. คาดการณ์ในปี 2557/58 มี 501.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.8 เปอร์เซ็นต์   ทำให้ปริมาณสต๊อคข้าวโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 174.8 ล้านตันเป็น 180.9 ล้านตัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนนัยย์บางอย่างเกี่ยวกับความสำคัญหรือความจำเป็นเกี่ยว กับอาหารของมนุษยชาติที่มีการตื่นตัวและเล็งเห็นความสำคัญสอดคล้องกับคำ กล่าวของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤฎากร "เงินทองคือมายา ข้าวปลาคือของจริง"

ประเทศที่ผลิตข้าวมากที่สุดในโลกหาใช่ประเทศไทยเรานะครับท่านผู้อ่าน แต่คือประเทศจีน อินเดีย บังคลาเทศและเวียดนาม แต่ไทยเรานั้นโชคดีที่ผลิตผลออกมาและมีเหลือจำหน่ายได้มากเป็นอันดับหนึ่ง (แต่มิได้ปลูกหรือผลิตเป็นอันดับหนึ่งนะครับ) เพียงแต่ประชากรเราน้อยกว่าประเทศที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุดจึงมีเหลือ เผื่อไว้ให้โรงสีที่มีอยู่มากกว่า 5,000 แห่ง และพ่อค้าผู้ส่งออกอีก 200 รายได้พอมีงานทำสร้างได้ให้ตนเองและพี่น้องชาวไร่ชาวนาเป็นกระบวนการวงจรให้ มีการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านด้านการเงินและสินค้า (ข้าว) ซึ่งเป็นวัฏจักรเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนไปได้ แต่ถ้ายักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดียสามารถพัฒนาปรับตัวผลิตข้าวจนเหลือเพียง พอส่งออกได้เมื่อใด ผู้ที่กำหนดราคาข้าวโลกอย่างแท้จริงคงจะสร้างความปั่นป่วนวงการค้าข้าวโลก อย่างมากโดยเฉพาะประเทศไทยเรา

ดังนั้นลูกหลานไทยที่มีหัวใจเกษตรและมีบรรพชนเป็นผู้ที่มีความเชียวชาญใน ด้านการเกษตรมาอย่างยาวนาน จะต้องออกมาช่วยกันรณรงค์พัฒนาให้ภาคการเกษตรของเรามีความก้าวหน้าทัดเทียม นานาอารยะประเทศ ในแง่ที่ทำเกษตรควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่เผาอินทรีย์วัตถุตอซังฟางข้าว ไม่ใช้สารพิษ ลดต้นทุน ลดการใช้เมล็ดพันธุ์ เพื่อที่จะได้มีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆที่กำลังวิ่งแรงแซงหน้า เราไปทีละน้อยจนเกือบปล่อยให้เราอยู่อันดับบ๊วยของประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าภิรมย์สมฤดีเท่าใดนัก

การใช้วัสดุทดแทนปุ๋ยเคมีจากหินแร่ภูเขาไฟธรรมชาติการใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกการ ใช้สมุนไพรไล่แมลง การใช้จุลินทรีย์ชีวภาพทดแทนยาฆ่าแมลง การตรวจวัดกรดด่างของดินก่อนปลูก ถือเป็นทางเลือกให้พี่น้องเกษตรกรในการลดต้นทุนและเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค ได้มีอาหารที่ปลอดภัยไว้รับประทาน แถมยังเป็นการรักษ์โลกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปด้วยอีกทางหนึ่ง วันนี้จึงอยากเชิญชวนให้ท่านผู้อ่านมา  ลด ละ เลี่ยง เลิก การใช้สารพิษการเกษตรกันเถอะนะครับ

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ  www.thaigreenagro.com

http://www.thaigreenagro.com/Aticle.aspx?id=15967&Param2=14

ไม่มีความคิดเห็น: