วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อียูคว่ำบาตรสหรัฐกด บทบาท (ผู้คนชนเกษตร) ไทยจะไปทางไหน




มี หลากเสียงหลายความคิดเห็นที่ยังคงผิดแผกแตกต่างกันอยู่ในขณะนี้เกี่ยวกับ เรื่องการวางตัวของประเทศไทยเรา ว่าจะมุ่งหน้าหรือมีจุดยืนอยู่ตรงไหนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนไทยในประเทศ โดยเฉพาะเยาวชนผู้ที่ซึ่งเป็นอนาคตของชาติและเป็นผู้ที่จะดำรงคงอยู่กับโลก ในอนาคต เพียงลำพังผู้หรับผู้ใหญ่ซึ่งในขณะนี้เป็นผู้ที่แสดงหรือผู้กำหนดบทบาทอนาคต ประเทศไทยนั้นก็คงไม่สามารถตามไปดูหรืออยู่กับลูกหลานได้แน่ในอีกสี่หรือห้า สิบปีข้างหน้า ฉะนั้นการตัดสินใจในครั้งนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาสมดุลย์ของผลๆ ด้ผลเสียของพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ อย่างน้อยถ้าไม่ได้ประโยชน์ก็ควรสูญเสียให้น้อยที่สุดต่อชะตากรรมพี่น้องชาว ไทยที่จะต้องดำเนินต่อไปในโลกข้างหน้าหรืออนาคต

ประเทศไทยค้าขายกับ อียูโดยส่งสินค้าไปขายให้กับ 28 ประเทศมูลค่า 7.3 แสนล้านบาทคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และเขาได้ส่งสินค้ามายังบ้านเรามูลค่า 7.1 แสนล้านบาทคิดเป็น 1% ของการส่งออกทั้งหมด 28 ประเทศ ซึ่งหมายถึงในอนาคตอันไกลโพ้นไทยสามารถที่จะขยายตลาดไปได้อีกหลายประเทศให้ มีการค้าการขายเพิ่มขึ้นจากมิตรประเทศของอียู นี่แหละครับคือเหตุผลในบางแง่มุมที่อาจจะสังเกตุเห็นได้ว่า ทำไมหัวหน้าคสช. จึงระมัดระวังเกรงอกเกรงใจในบทบาทต่องานระหว่างประเทศที่มีการชี้แจงเจ้า หน้าทูตและใช้กลไกทุกรูปแบบประสานงานให้โลกเข้าใจประเทศไทย

แต่ถ้า จะว่ากันไปจริงๆแล้ว โลกเริ่มเข้าใจประเทศไทย เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับรูปแบบวิธีการแก้ไขของคณะ คสช. เนื่องด้วยเขาเป็นอภิมหาอำนาจและเป็นผู้นำบทบาทในโลกประชาธิปไตยเสรี จึงมีการกดดันในหลากหลายรูปแบบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในขณะนี้ โดยเฉพาะกรณีที่สหรัฐอเมริกาลดลำดับชั้นเกี่ยวกับเรื่องการค้าแรงงานมนุษย์ มาอยู่ในอันดับต่ำสุด (เทียร์ 3) ซึ่งอยู่ในลำดับเดียวกันกับโจทย์ตัวเอ้ๆของอเมริกาเทียวเดียวเชียวล่ะครับ นั่นก็คือจีนและรัสเซีย ถึงแม้การกดดันนี้จะไม่เท่ากับการงดคบค้าสมาคม, การยุติความสัมพันธ์การเยี่ยมเยือน, ยกเลิกระบบเอฟทีเอชั่วคราว ฯลฯ ของอียูก็ตาม แต่ในภาพรวมคนก็จะตั้งแง่รังเกียจไม่ซื้อสินค้าไทย ไม่กินกุ้งไทย (ต้มยำกุ้ง), อาหารไทย ฯลฯ เพราะมีภาพการกดขี่แรงงานเข้ามาเกี่ยวข้อง  ถ้ามองเรื่องการซื้อขายไทยเราขายสินค้าให้อเมริกาปนระมาณ 800,000 ล้านบาท และอเมริกาขายสินค้าให้เราประมาณ 500,000 ล้านบาท จะดูจะมองอย่างไรภาพรวมมูลค่าการซื้อขายของยุโรปและอเมริกาก็ยังดีกว่าจีน เพราะปริมาณการซื้อของจีนทั้งประเทศยังมีมูลค่าน้อยกว่าที่ไทยซื้อจากจีนวัน ยันค่ำ

ถามว่าเราจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในโลกใบนี้ได้ไหม ก็ขอตอบว่าได้นะครับ แต่ที่อยู่ได้คือคนกลุ่มเล็กๆ ไม่สามารถที่จะดำรงคงอยู่ได้ในฐานะรัฐชาติที่มีประชากรเกือบ 70 ล้านคน เพราะอาจจะมีการขาดแคลนแหล่งน้ำแหล่งอาหาร มีการแย่งชิงพื้นที่เพาะปลูกในกรณีที่การถือครองผืนดินไม่เท่าเทียมกัน ขาดเงินหมุนเวียนในประเทศในการที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน  สาธารณูปโภค จะสร้างเขื่อน สร้างฝาย สร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรก็คงทำได้ยุ่งยากลำบากกายพอทน ลองมองไปยังเพื่อนบ้านของเราที่อยู่ข้างๆก็ได้นะครับว่า 30-40 ปีเป็นอย่างไร มีการเข่นฆ่าละเมิดสิทธิมนุษยชนไปเท่าไร และการหันหน้าไปพึ่งพิงจีนนั้นผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ทำไมแรงงานบ้านเขาจึงต้องมาอาศัยเรา และการที่จะทรมานอียูด้วยการไม่ส่งสินค้าไปให้เขาอย่าลืมว่าอียูก็มีสินค้า ทดแทนจากเขมร, เมียนมาร์, ลาว, เวียดนาม ฯลฯ อีกเยอะแยะมากมาย. เขาจะเดือดร้อนจริงไหม?

ประเด็นอยู่ที่ว่าตอนนี้พี่น้องไทยเราอย่า เพิ่งไปแสดงบทบาทที่โจ่งแจ้งแสดงความคิดเห็นให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าเราโกรธ หรือโมโหหรือแสดงบทบาทที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกแก่พี่น้องชาวโลก เพิ่มขึ้น เพราะในอนาคตยังไม่ทราบว่าลูกหลานของเราจะต้องไปเกี่ยวดองหนองยุ่งจะต้องคบ ค้าสมาคมหรือจะต้องพึ่งพิงอิงอาศัยใครได้บ้าง ตอนนี้ดีที่สุดน่าจะช่วยชี้แจงขอความเห็นใจว่าประชาธิปไตยไทยของเราเสีย กำลังเข้าสู่โหมดซ่อมแซมปรับปรุงแก้ไขใหม่ ในระยเวลาอันใกล้ไม่นานคงจะมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มีการเลือกต้ัง มีบรรยากาศที่ผู้สมัครสามารถเดินไปได้ทุกตรอกซอกซอยทั่วประเทศ เมื่อนั้นเราก็ยินดีจะเปิดประตูไปมาหาสู่กับท่านอย่างแน่นอนครับ อย่างนี้น่าจะดีกว่าไม่น้อย

มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com

http://www.thaigreenagro.com/Aticle.aspx?id=15894&Param2=3

ไม่มีความคิดเห็น: